ดาวโจนส์ร่วง 346 จุด เหตุดอลล์แข็ง-บอนด์ยีลด์พุ่งฉุดตลาด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(6ต.ค.)ร่วงลง 346 จุด โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 346.93 จุด หรือ 1.15% ปิดที่ 29,926.94 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 38.76 จุด หรือ 1.02% ปิดที่ 3,744.52 จุด ดัชนีแนสแด็ก ลดลง 75.33 จุด หรือ 0.68% ปิดที่ 11,073.31 จุด
ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการดีดตัวขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก
รวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงกว่า 2% เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด ขานรับมติของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในการปรับลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วัน
ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในวันนี้ หลังร่วงลงในช่วงแรกจากการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศระบายน้ำมันจากคลังสำรองเพื่อตอบโต้โอเปกพลัส
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 29,000 ราย สู่ระดับ 219,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 203,000 ราย
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวอยู่สูงกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ
ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.36 ล้านราย
ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 265,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 315,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.7%