ดาวโจนส์ปรับตัวร่วงลงในกรอบแคบ 93 จุด กังวลเศรษฐกิจถดถอย
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์ (10ต.ค.)ปรับตัวร่วงลงในกรอบแคบ 93 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 93.91 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 29,202.88 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 0.75% ปิดที่ 3,612.39 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 1.04% ปิดที่ 10,542.10 จุด
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 600 จุดในวันศุกร์(7ต.ค.) หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงเกินคาด ทำให้นักลงทุนวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
ด้านนายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอยในกลางปีหน้า โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ
นายไดมอนกล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงดูดีในขณะนี้ และผู้บริโภคยังคงมีสถานะที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับในปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก แต่การพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ, การดีดตัวของอัตราดอกเบี้ย และการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 6-9 เดือนต่อจากนี้ ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปได้ถดถอยแล้ว
นายไดมอนกล่าวว่า เขาไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าภาวะถดถอยดังกล่าวจะกินเวลานานเท่าใด แต่สิ่งที่เขาแน่ใจคือปัจจัยดังกล่าวจะสร้างความผันผวนในตลาด
ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ในวันนี้ โดยคาดว่าจะมีการปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ, การแพร่ระบาดของโควิด-19, การที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน และผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อเศรษฐกิจในทุกทวีป
ก่อนหน้านี้ ในการเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในเดือนก.ค. ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2565 และ 2566 สู่ระดับ 3.2% และ 2.9% ตามลำดับ
นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ และนายเดวิด มัลพาส ประธานธนาคารโลก กล่าวเตือนในวันนี้(11ต.ค.)ว่า เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเผชิญภาวะถดถอยในปีหน้า ขณะที่เงินเฟ้อยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ หลังจากที่รัสเซียส่งกำลังทหารโจมตียูเครนในเดือนก.พ.
"มีความเสี่ยงและอันตรายอย่างแท้จริงที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญภาวะถดถอยในปีหน้า" แถลงการณ์ร่วมจากนางจอร์เจียวาและนายมัลพาสระบุ ก่อนการประชุมประจำปีแบบพบหน้ากันเป็นครั้งแรกระหว่างไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ นายมัลพาสแสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และการอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศที่กำลังพัฒนา รวมทั้งเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้น
ด้านนางจอร์เจียวากล่าวว่าไอเอ็มเอฟจะเน้นย้ำในการประชุมสัปดาห์นี้ให้ธนาคารกลางของชาติต่างๆยังคงใช้ความพยายามสกัดเงินเฟ้อต่อไป แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
"ถ้าพวกเขาดำเนินการอย่างไม่เพียงพอ เราก็จะเผชิญปัญหาจากเงินเฟ้อที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางยิ่งต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น และจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ" นางจอร์เจียวากล่าว
นอกจากนี้ นางจอร์เจียวาระบุว่า การใช้มาตรการทางการคลังควรจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการเติม "เชื้อเพลิงเข้าสู่กองไฟแห่งเงินเฟ้อ"
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตารายงานการประชุมของเฟดประจำเดือนก.ย.ในวันที่ 12 ต.ค. และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันที่ 13 ต.ค. เพื่อหาสิ่งบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด