เปิดประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ นักวิเคราะห์มองซีโร่โควิดตัวตัดสิศก.จีน
เปิดประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ นักวิเคราะห์มองซีโร่โควิดตัวตัดสิศก.จีน ยึดโควิดเป็นศูนย์ เสริมเขี้ยวเล็บกองทัพ เดินหน้ารวมชาติไต้หวัน
‘สี จิ้นผิง’จ่อยึดผู้นำจีนวาระ 3 ต่ออีก 5 ปี ลั่นกลางที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ เดินหน้านโยบายโควิดเป็นศูนย์ และรวมชาติจีน-ไต้หวันด้วยสันติวิธี พร้อมเพิ่มแสนยานุภาพกองทัพ เตรียมเปิดตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 วันที่ 18 ต.ค.นี้ คาดอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 ผลพวงจากข้อจำกัดโควิดและวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์
การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เปิดฉากอย่างเป็นทางการวานนี้(16ต.ค.) และจะต่อเนื่องไปถึงวันที่ 22 ต.ค.2565 โดยตัวแทนพรรคคอมมิวนิสต์ราว 2,300 คน ที่มาประชุมกัน ณ มหาศาลาประชาชนกลางกรุงปักกิ่ง จะทำหน้าที่เลือกคณะกรรมการกลางชุดใหม่ราว 200 คน
โดยคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกแกนนำพรรค อันประกอบด้วย คณะกรมการเมือง (โปลิตบูโร) และคณะกรรมการถาวร ซึ่งซีเอ็นบีซีรายงานว่า ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า ประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง จะยังอยู่ในตำแหน่งเป็นวาระที่ 3 ต่อไปอีก 5 ปี
ประธานาธิบดี สี ซึ่งเข้าร่วมท่ามกลางมาตรการคุมเข้มด้านความปลอดภัยบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่งของทหารและตำรวจ กล่าวว่า จีนให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอันดับแรก โดยคุ้มครองความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชนระดับสูงสุด พร้อมทั้งยึดมั่นในนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาลต่อไป ด้วยความมั่นใจว่านโยบายนี้จะส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ในเชิงบวกทั้งในการป้องกันการแพร่ระบาดและด้านการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสี ยังระบุด้วยว่า การปราบปรามการทุจริตประสบความสำเร็จอย่างมากและกำจัดภัยอันตรายร้ายแรงที่แฝงอยู่ภายในพรรคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลและกองทัพ
ในมิติเศรษฐกิจ ประธานาธิบดีสี ยกย่องความร่วมแรงร่วมใจของสมาชิกพรรค 96 ล้านคน ในการต่อสู้กับสงครามความยากจนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ให้การสนับสนุนเศรษฐกิจทุกระดับ ตามกลไกระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมระดับสูง
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสี กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีน เติบโตจาก 54 ล้านล้านหยวนเป็น 114 ล้านล้านหยวนในทศวรรษที่ผ่านมา และครองสัดส่วน 18.5% ของเศรษฐกิจโลก เพิ่มขึ้น 7.2 %
ขณะเดียวกัน จีนยังคงมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของจีนเพิ่มขึ้นจาก 39,800 หยวน เป็น 81,000 หยวน
ประธานาธิบดีสี ระบุว่า จีนครองอันดับ 1 ของโลกในด้านผลผลิตธัญพืช และภาคการผลิตของจีนมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงทุนสำรองระหว่างประเทศมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน
ส่วนประเด็นตึงเครียดบริเวณช่องแคบไต้หวันนั้น ประธานาธิบดีสี กล่าวว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะแก้ไขปัญหาไต้หวันในยุคใหม่และผลักดันรากฐานของการรวมชาติอย่างแน่วแน่
รวมชาติไต้หวันแบบสันติ
“การแก้ปัญหาไต้หวันเป็นเรื่องสำหรับชาวจีน เรื่องที่ชาวจีนต้องแก้ไขและเราจะพยายามต่อไปเพื่อการรวมชาติอย่างสันติด้วยความจริงใจและความพยายามอย่างสูงสุด แต่จะไม่สัญญาว่าจะไม่ใช้กำลัง และขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามมาตรการทั้งหมดที่จำเป็น ซึ่งสิ่งนี้มุ่งเป้าไปที่การแทรกแซงจากกองกำลังภายนอกเท่านั้น และผู้แบ่งแยกดินแดนไม่กี่คนที่แสวงหาเอกราชของไต้หวันรวมทั้งกิจกรรมแบ่งแยกดินแดน ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เพื่อนร่วมชาติในไต้หวันของเรา” ประธานาธิบดีสี กล่าว
นอกจากนี้ ผู้นำจีน ยังกล่าวถึงการขยายศักยภาพของกองทัพว่า จะเสริมสร้างการสร้างพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั่วทุกด้านในกองกำลังของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน เพื่อรับรองว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะปรับปรุงสถาบันและกลไกสำหรับการบังคับใช้ระบบความรับผิดชอบสูงสุด ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง
พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะกระชับการฝึกซ้อมกองกำลังทหารและขยับขยายการเตรียมความพร้อมสู้รบทั่วทุกด้าน เสริมสร้างการบริหารจัดการกองทัพที่รอบด้าน ตลอดจนประสานรวมและยกระดับยุทธศาสตร์ชาติเชิงบูรณาการและสมรรถภาพเชิงยุทธศาสตร์
คาดไตรมาส3จีดีพีชะลอตัว
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 พร้อมกับตัวชี้วัดเศรษฐกิจอื่น จะเปิดเผยขึ้นครึ่งทางของการประชุมครั้งสำคัญที่คาดว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะได้เป็นผู้นำครั้งประวัติศาสตร์ในวาระ 3 โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเผยกับเอเอฟพี คาดว่า จีดีพีประจำไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.) จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.5%
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคิดว่า จีนพยายามรักษาเป้าการเติบโตปี 2565 ที่ 5.5% และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ลดคาดการณ์จีดีพีจีนเหลือ 3.2% ในปี 2565 และ 4.4% ในปี 2566
คณะผู้เชี่ยวชาญของเอเอฟพีคาดการณ์ว่าปี 2565 เศรษฐกิจจีนโตเฉลี่ย 3% ห่างไกลกันมากกับ 8.1% เมื่อปี 2564 จะเป็นอัตราการเติบโตที่อ่อนแรงสุดของจีนในรอบ 4 ทศวรรษ ไม่รวมปี 2563 ที่เศรษฐกิจโลกโดนโควิด-19 เล่นงาน
ซีโร่โควิดฉุดเศรษฐกิจจีน
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงคือนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (ซีโร่โควิด) ของรัฐบาลปักกิ่ง โดยจีนเป็นเขตเศรษฐกิจใหญ่แห่งสุดท้ายของโลกที่ยังใช้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีข้อจำกัดการเดินทางเข้มงวด
แต่แม้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ “ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนถึงการผ่อนคลายยุทธศาสตร์โควิดเป็นศูนย์ครั้งใหญ่” ติง หลู่ จากโนมูระระบุ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า นับถึงขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นไปในทิศทางตรงข้าม
ในสัปดาห์ก่อนการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ สื่อรัฐเผยแพร่บทบรรณาธิการหลายชิ้นเตือนว่า จะไม่มีการผ่อนคลายนโยบายนี้ และเมื่อการติดเชื้อปะทุขึ้นทั่วประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางการยิ่งเพิ่มการควบคุม เซี่ยงไฮ้กลับมาใช้ข้อจำกัดบางอย่างอีกครั้ง ทำให้หลายคนเกรงว่าจะเหมือนกับการล็อกดาวน์รอบก่อนในปีนี้ที่ต้องเปิดเมืองเซี่ยงไฮ้นานสองเดือน
การที่จีนยังคงย้ำถึงความมุ่งมั่นต่อยุทธศาสตร์ซีโร่โควิดทำลายความหวังของพลเมืองจีนนับไม่ถ้วนรวมถึงนักลงทุน
ขณะเดียวกันจีนยังคงต่อกรกับวิกฤติในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วย ภาคส่วนนี้เคยเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คิดเป็นกว่าหนึ่งในสี่ของจีดีพีจีนเมื่อรวมกับภาคก่อสร้าง ซึ่งหลังจากเติบโตแบบฉุดไม่อยู่มาหลายปี อานิสงส์จากการเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย ทางการจีนเริ่มจัดการหนี้สินส่วนเกินเมื่อปี 2563
จับตาทิศทางเศรษฐกิจสมัยใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้มีปัญหาดังที่กล่าวมา โทมัส แกตลีย์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเกรฟแคล ดราโกโนมิกส์ (Gavekal Dragonomics) กล่าวว่า ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายตัวแท้จริงแล้วฟื้นตัวดีจากการล็อกดาวน์ครั้งใหญ่เมื่อเดือน มี.ค.และ เม.ย.ที่ผ่านมา
ยอดขายรถยนต์เดือน ก.ย.แข็งแกร่ง ได้แรงหนุนจากความต้องการยานยนต์ไฟฟ้ามีมาก ขณะที่การส่งออกเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่กระนั้น “เสาหลักเศรษฐกิจเหล่านั้นกำลังเปราะบางมากขึ้น” นักวิเคราะห์รายนี้เตือน
ด้านฌ็อง หลุยส์ ร็อกกา ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนเสริมว่า เศรษฐกิจจีนเผชิญกับ “ปัญหาพื้นฐานของการทรานส์ฟอร์มมากขึ้น”
หลังจากเติบโตมาหลายทศวรรษได้แรงหนุนจากการลงทุนและการส่งออก ร็อกกา กล่าวว่า จีน “ไม่ต้องการเป็นโรงงานของโลกอีกต่อไป” แต่จะเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่มุ่งหน้าสู่เทคโนโลยีใหม่และการบริโภค ซึ่งการเปลี่ยนผ่านนี้ยังกำลังดำเนินอยู่
ร็อกกา กล่าวว่า อีกหนึ่งความกังวลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีความชอบธรรมทางการเมืองได้ด้วยความสำเร็จทางเศรษฐกิจ คือเศรษฐกิจสมัยใหม่แบบนี้ไม่ได้สร้างงานมากมายนัก ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาร้ายแรงต่อชนชั้นกลางจีนที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้น
ย้อนรอยเศรษฐกิจจีนภายใต้ “สี จิ้นผิง”
เว็บไซต์อัลจาซีรา รายงานว่า ช่วงเวลา 3 ใน 4 ของเก้าปีแรกที่สีปกครองประเทศ เศรษฐกิจจีนมีแต่เติบโต แต่เศรษฐกิจแดนมังกรขนาด 18 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องชะลอลงเร็วจากฟองสบู่อสังหาฯ ล็อกดาวน์โควิด การตัดขาดเศรษฐกิจจากชาติตะวันตก และแนวโน้มวิกฤติประชากรศาสตร์ที่กำลังก่อตัวขึ้นส่อเค้าบั่นทอนการเติบโตในทศวรรษหน้า
“ความท้าทายของสีในระยะยาวคือ เศรษฐกิจจีนจะรักษาอัตราการเติบโตให้ยั่งยืนได้อย่างไร จีดีพีที่เคยโตแรงระดับ 8%บวกจบลงแล้ว แต่จีนจะยังสามารถรักษาระดับการเติบโตที่ 4-5% ไว้ได้หรือไม่” แอนดี ม็อก นักวิจัยอาวุโสศูนย์จีนและโลกาภิวัตน์ตั้งคำถาม
ทั้งนี้ ช่วงเวลาส่วนใหญ่ที่สีปกครองประเทศ เศรษฐกิจจีนเติบโตแข็งแกร่งแม้น้อยกว่า 2 หลักที่เคยทำได้ช่วงต้นทศวรรษ 1990 ถึง กลางทศวรรษ 2000 แต่ข้อมูลจากธนาคารโลกชี้ว่า อัตราการเติบโตของจีนระหว่างปี 2555-2562 เฉลี่ยปีละ 6%-8% จีดีพีต่อหัวเพิ่ม 2 เท่าระหว่างปี 2555-2564 จาก 6,300 ดอลลาร์ อยู่ที่ 12,500 ดอลลาร์
แก้เศรษฐกิจไม่ได้ถ้าไม่เปลี่ยนผู้นำ
รศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ จากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า การประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งนี้ “สี จิ้นผิง” จะเป็นผู้นำสมัยที่ 3 หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเพราะปัญหาใหญ่ที่สุด คือ เศรษฐกิจที่แก้ไขไม่ได้ถ้าไม่เปลี่ยนนโยบายอันใดอันหนึ่งของสี จิ้นผิงโดยตรง เช่น ซีโร่โควิด ซึ่งสี จิ้นผิง เปลี่ยนนโยบายนี้ไม่ได้ “เพราะถ้าเปลี่ยนแสดงว่า เขาทำผิด ถ้าเขาทำผิดก็จะไม่มีความชอบธรรมในการปกครอง”
นักวิชาการรายนี้มองว่า สี จิ้นผิงจะยืนยันใช้นโยบายเดิมต่อไป ถ้าจีนจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ได้ต้องเอา สี จิ้นผิง ออกไป สถานการณ์ตอนนี้คล้ายต้นทศวรรษ 1970 ที่เป็นช่วงกลางของการปฏิวัติวัฒนธรรม ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นนโยบายที่ผิดพลาด แต่หยุดไม่ได้เพราะถ้าหยุดแสดงว่าเหมา เจ๋อตงคิดผิด
“สิ่งที่สี จิ้นผิงทำอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขยายองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ เพิ่มความสัมพันธ์ทางการทหารกับรัสเซียทำให้ดูเหมือนจีนมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น แต่รากเหง้าแท้จริงคือปัญหาทางเศรษฐกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยที่สี จิ้นผิงยังอยู่ในอำนาจ ประเด็นคือจีนจะแก้ปัญหา หรือจีนจะให้สี จิ้นผิงอยู่ต่อ มีแค่สองอย่าง”
ส่วนประเด็นที่คาดการณ์ว่าการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งนี้อาจเป็นทางลงให้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ เช่น ประกาศชัยชนะเหนือโควิด หรือผ่อนคลายมาตรการบางอย่าง วาสนาเชื่อว่า เป็นไปได้ยาก เพราะต้องอธิบายให้ได้ว่าทำไมถึงใช้นโยบายซีโร่โควิดมาตั้งนาน ซึ่งถึงตอนนี้ยังไม่เห็นเหตุผลที่จะนำมาอธิบาย
สิ่งที่่จะส่งผลต่อไทยมากคือ นักท่องเที่ยวจีน ความคาดหวังว่าจีนเปิดประเทศหลังประชุมแล้วนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา วาสนาระบุ
“not anytime soon ต้องรอต่อไป” พร้อมขยายความว่า นโยบายเศรษฐกิจของสี จิ้นผิง เป็นจุดเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจของเติ้ง เสี่ยวผิง กล่าวคือเติ้งใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ ต้องการให้การส่งออกและเศรษฐกิจที่ข้องเกี่ยวกับตลาดโลกเป็นตัวดันเศรษฐกิจ พอถึงยุคสี จิ้นผิง มีโควิด-19 เข้ามามีแนวโน้มปิดประเทศ เอา dual circulation เข้ามาให้วงจรเศรษฐกิจในประเทศขับเคลื่อน