‘เมตาเวิร์ส’เดิมพันครั้งใหญ่ของ ‘ซักเคอร์เบิร์ก’ที่ผู้ถือหุ้นไม่ปลื้ม
แม้ผลดำเนินงานของ ‘เมตา’ ออกมาน่าผิดหวัง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเมตาเวิร์สที่ขาดทุนยับเยิน ทำให้ราคาหุ้น Meta ร่วงลงหนัก จนผู้ถือหุ้นขอให้ลดงบลงทุนในส่วนนี้ลง แต่ “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ยังคงยืนยันว่า นี่คืออนาคตของบริษัท!
หนึ่งวันหลังจากผลประกอบการไตรมาสสามของ ‘เมตา’ เผยแพร่ออกมา (27 ต.ค.) อาจสร้างความผิดหวังให้แก่บรรดาผู้ถือหุ้นหลายคน ซึ่งมาพร้อมกับความเสื่อมศรัทธาที่มีต่ออนาคตเมตาเวิร์สของ ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ และยังกระทบต่อเนื่องไปยัง ราคาหุ้นเมตา ที่ร่วงระนาว โดยถ้านับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน หุ้นเมตา ร่วงลงมาแล้วกว่า 70% ซึ่งยังให้ความมั่งคั่งของ มาร์ก ร่วงหลุดท็อป 20 ของโลกตามไปด้วย จนเกิดคำถามที่หลายคนสงสัยว่า การเดิมพันครั้งนี้ เมตา มาถูกทางหรือไม่
ธุรกิจหลักของบริษัทเมตา ประกอบไปด้วยแอปพลิเคชันในเครือทั้ง 4 ตัว ได้แก่ เฟสบุ๊ก อินสตาแกรม เมสเซนเจอร์ และวอตส์แอปป์ ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานถึง 2,930 ล้านคนต่อวัน นับเป็น 37% ของประชากรโลกที่ใช้ 1 ใน 4 แอปดังกล่าวในชีวิตประจำวัน
นอกจากแอปในเครือแล้ว ธุรกิจเรือธงตัวต่อไป ‘มาร์ก’ คาดหวังว่าจะเป็น ‘เมตาเวิร์ส’ แต่น่าเสียดายที่ในปีนี้ เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับเมตาและผู้ถือหุ้นของบริษัท เพราะไม่ใช่เพียงแค่ธุรกิจหลักที่รายได้ลดลง แต่ราคาหุ้นบริษัทก็ร่วงตามไปด้วย
‘ฝันร้ายก่อนส่งท้ายปี’
เมตาเปิดเผยรายได้รวมในไตรมาสสามปี 2565 ลดลง 4% เหลือ 27,714 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อปี 2564 อยู่ที่ 29,000 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 4,395 ล้านดอลลาร์ลดลง 52% เมื่อเทียบกับปีก่อน อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 19%
ทั้งนี้ สาเหตุที่รายได้ลดลงส่วนใหญ่มาจากการลงทุนก้อนใหญ่กับ ‘เมตาเวิร์ส’ ซึ่งธุรกิจในเครืออย่าง Reality Labs ที่ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีโลกเสมือนของเมตาเวิร์ส มีรายได้ลดลงกว่า 9,400 ล้านดอลลาร์แล้วในปีนี้ โดยไตรมาสสามนี้เหลือรายได้เพียง 258 ล้านดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้น เมตาอาจลืมไปแล้วว่าบริษัทกำลังเตรียมเปิดตัวชุดแว่น Quest รุ่นใหม่ในปีหน้า ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายทางต้นทุนของบริษัทก้อนใหญ่
ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดโฆษณาของ ‘เฟสบุ๊ก’ ก็ลดน้อยลงด้วย เนื่องจากนโยบายความเป็นส่วนตัวของแอ๊ปเปิ้ลอิงค์ ทำให้ผู้โฆษณาเข้าถึงข้อมูลความสนใจของผู้ใช้ไอโฟนได้ยากมากขึ้น อีกทั้ง ‘ติ๊กต็อก’ คู่แข่งในโซเชียลมีเดียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้เมตาต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ พยายามนำจุดเด่นด้านวิดิโอของติ๊กต็อกมาปรับใช้ เห็นได้จากการจ้างงานตำแหน่งล็อบบี้ยิสต์ เพื่อช่วยให้บริษัทขึ้นนำคู่แข่งให้ได้
นอกจากนี้ ‘เดวิด เวห์เนอร์’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ชี้ว่า รายได้ที่ลดลงเป็นผลมาจากภาวะเงินเฟ้อด้วย ซึ่งนักวิเคราะห์จากเว็บไซต์ Seeking Alpha เผยว่า (26 ต.ค.) สถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่ผันผวน บวกกับเงินดอลลาร์แข็งค่าจึงกระทบต่อรายได้เมตา หากไม่มีผลกระทบเหล่านี้ รายได้เมตาอาจโตเพิ่มขึ้น 2%
‘เรื่องดีที่น่ากังวล’
อย่างไรก็ดี เมตาเผยว่าขณะนี้ Reels แพลตฟอร์มวิดิโอขนาดสั้น มีทั้งหมด 140,000 ล้านคลิป ที่เผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊กและอินสตาแกรม ซึ่งเพิ่มขึ้น 50% จาก 6 เดือนก่อน และจากแพลตฟอร์มของเมตาทั้งหมด Reels สามารถสร้างอัตรารายได้ถึง 3,000 ล้านดอลลาร์/ปี อีกทั้ง ยอดผู้ใช้งานแอปพลิเคชันทั้งหมดของบริษัท เพิ่มขึ้นถึง 2,930 ล้านคน แม้เป็นเรื่องที่น่าประทับใจ แต่รายได้เฉลี่ยต่อหัวจากผู้ใช้งานลดลง ยังเป็นเรื่องดีที่น่ากังวลต่อผู้ถือหุ้น
นักวิเคราะห์จากเว็บไซต์ Seeking Alpha ระบุว่า ตัวชี้วัดที่สำคัญของเมตาคือ รายได้เฉลี่ยต่อหัวจากผู้ใช้งานแอปในเครือ เพราะจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจว่า เมตาสามารถสร้างมูลค่าจากผู้ใช้งานได้มากเพียงใด ซึ่งเป็นที่น่าผิดหวัง เนื่องจากอัตรารายได้เฉลี่ยต่อหัว เริ่มลดลงตั้งแต่ไตรมาสสามของปี 2564 จาก 8.36 ดอลลาร์/คน เหลือ 7.53 ดอลลาร์/คน หลังแอ๊ปเปิ้ลเปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัว
และเมื่อคำนวณอัตราการเติบโตรายปีแบบผสม (CAGR) ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ทำให้นักลงทุนทราบว่าจะสามารถทำกำไรจากการลงทุนได้มากเพียงใดต่อปี พบว่า แม้ลงทุนกับเมตาในตอนนี้ และคาดการณ์การเติบโตของเมตาในอีก 5 ปีข้างหน้าไว้ที่ระดับต่ำมาก เช่น คาดการณ์ว่าเติบโตลดลง 5% , 0% หรือไม่ถึง 3% แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า อัตราผลตอบแทนเงินลงทุนยังคงเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งอัตราผลตอบแทนยังอยู่ที่ระดับ 7%
‘มาร์ก'ทุ่มเดิมพันอนาคตเมตาเวิร์ส
อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 มาร์กยังคงเดินหน้าลงทุนใน Reality Labs ต่อไป โดยคาดหวังว่าการขาดทุนจากการดำเนินงานจะฟื้นตัวมากขึ้น และคาดว่าการลงทุนดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานในระยะยาว ซึ่งมาร์กเน้นย้ำว่า หลายอย่างที่บริษัทกำลังทำงานกับแอปในเครือทั้งหมดนี้ ค่อนข้างมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จและมีผลลัพธ์ที่ดี
ในขณะเดียวกัน มาร์กได้ส่งสารถึงพนักงานบริษัท เพิ่มความพยายามในการทำงานเป็น 200% เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกปลดออกจากงาน ซึ่งเมตามีแผนปลดพนักงานถึง 20% ในปี 2566 เนื่องจากปีหน้า ธุรกิจเมตาเวิร์สจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและจะมีผลการดำเนินงานขาดทุนมากกว่าปัจจุบัน ซึ่งเมตาเชื่อว่าธุรกิจเหล่านี้จะสร้างกำไรระยะยาว
ทั้งนี้ ในอนาคตน่าจับตามองว่า เมตาที่เคยรุ่งเรืองจะเดินหน้าไปในทิศทางใด การปลดพนักงานจะสร้างผลกระทบใด และเมตาเวิร์สจะฟื้นรายได้บริษัทให้กลับมาสดใสได้หรือไม่ หากการเดิมพันของเมตาในครั้งนี้คือ การเดิมพันด้วยความเข้าใจว่าเทรนด์โซเชียลมีเดียกำลังเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด และหากรู้ว่าจะไขว้คว้าโอกาสนั้นได้อย่างไร เมตาอาจสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ แล้วผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำโซเชียลของโลกได้อีกครั้ง