แห่ค้านต่างชาติ ‘ฮุบ’ ที่ดินแลกลงทุน 40 ล้าน
มติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ ในอดีตที่ผ่านมาประชาชนอยู่กันอย่างมีความสุข
มีความมั่นคงในชีวิต อาชีพ แต่หลังจากที่รัฐบาลหลายยุคสมัยที่เน้นนโยบายการพัฒนาประเทศตามแนวเศรษฐกิจแบบทุนเสรีนิยม เน้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทอดทิ้งภาคเกษตรกรรม ทั้งๆ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย ทำให้เกษตรกรเกิดภาวะความยากจน มีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งที่ทำนา ปลูกพืช ปีละหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถ
หลุดพ้นบ่วงหนี้ได้ ที่สำคัญในยามนี้โลกกำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อนเกิดความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้โลกขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์ที่สามารถผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลกได้ รัฐเคยประกาศนโยบายที่จะให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก
จากนโยบายของรัฐบาลก็ยังคงเดินตามนโยบายของระบบทุนเสรีนิยมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่สภาพโดยทั่วไปต่างประจักษ์ชัดแล้วว่า ทำให้คนส่วนใหญ่ลำบากยากจนลง หลักการเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ รัฐบาลและกลไกรัฐกลับเพิกเฉยไม่นำพา เห็นได้ชัดจากมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
พ.ศ. .... ซึ่งร่างกฎกระทรวงนี้ จะมีระยะเวลาบังคับใช้ ๕ ปี นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เกณฑ์
ที่เปลี่ยนไปจากกฎกระทรวงเดิม คือ มีการเพิ่มประเภทของกลุ่มต่างชาติ ๔ กลุ่ม และปรับปรุงประเภทการลงทุนของกองทุนต่างๆ ที่ไม่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เช่น เพิ่มประเภทการลงทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาลไทย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทรัสต์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ และต้องถือครองการลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า ๓ ปี
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ขอคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาล ที่อนุญาตให้ต่างชาติครอบครองที่ดินในเมืองไทยได้หากมีการนำเงินมาลงทุนมากกว่า ๔๐ ล้านบาท เท่ากับเป็นนโยบายขายชาติ ขายแผ่นดิน โดยแท้จริง แม้จะกำหนดระยะเวลาแค่ ๕ ปี ก็เพียงพอที่จะทำให้เมืองไทย คนไทยไร้แผ่นดิน เพราะทำให้นายทุนโลกที่มีศักยภาพทั้งสีเทา สีดำ สีขาว ต่างสามารถมาช้อนซื้อที่ดินได้เป็นจำนวนมาก
ดังที่ทราบกันว่าที่ดินของประเทศไทยมีเนื้อที่ประมาณ ๕๑๓,๑๒๐ ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ ๓๒๐.๗ ล้านไร่ (๑ ตารางกิโลเมตรเท่ากับ ๖๒๕ไร่) หักที่ดินที่เป็นป่าสงวน ถนนหนทาง แอ่งน้ำ และที่ดินสาธารณะซึ่งไม่สามารถจัดสรรให้ประชาชนได้ประมาณ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ (๑๒๘.๒๘ ล้านไร่) คงเหลือที่ดินที่จะจัดสรรให้แก่ประชาชนประมาณ ๑๙๒.๔๔ ล้านไร่ ในขณะที่ประเทศไทยมีประชากร ประมาณ ๗๐ ล้านคน ที่ดินในเมืองไทยก็เหลือจัดสรรให้ประชาชนคนไทยได้ไม่เกินคนละ ๒.๗๕ ไร่เท่านั้น และวันนี้คนไทยจำนวนมากไม่มีที่ดินของตนเองเพราะนายทุนเข้าผูกขาดเข้ายึดครองที่ดินอย่างไม่มีข้อจำกัด แล้วตอนนี้รัฐบาลยังต้องการให้ต่างชาติถือครองที่ดินเพื่อดึงดูดต่างชาติลงทุนให้ได้เงินลงทุน ๑ ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับ
คนไทย ถ้าแลกกับให้ต่างชาติถือครองที่ดินคนละไม่เกิน ๑ ไร่ เป้าหมายของรัฐบาล คือ ภายใน ๕ ปี ให้ได้นักลงทุนเข้ามา ๑ ล้านคน แลกกับการเป็นเจ้าของที่ดินเท่ากับ ๑ ล้านไร่ ที่สุดแล้วคนไทยจะไปอยู่ที่ไหน เมื่อไม่มีผืนแผ่นดินให้ทำอาชีพเลี้ยงตนเอง ไม่มีที่ให้ซุกหัวนอน คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ที่ดิน ที่นาหลุดลอยไปเพราะหนี้สินที่ล้นพ้นตัว ระบบการจำนอง และระบบการจัดการที่ไม่เป็นธรรม จำนวนมากที่ต้องเช่าที่ดินพ่อค้า นายทุนทำการเกษตร จากนโยบายดังกล่าวจึงไม่แปลกที่ประชาชน สื่อมวลชนจะกล่าวหาว่ารัฐบาลสิ้นคิด ขายแผ่นดิน ขายชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายขายแผ่นดินให้ต่างชาติถูกตอกย้ำด้วยประกาศของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ ๖/๒๕๖๕ วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๕ ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ใช้อำนาจตามมาตรา ๒๗ พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๒๕๖๐ อนุญาตนิติบุคคลต่างด้าวที่มีทุนจดทะเบียน ๕๐ ล้านบาท สามารถถือกรรมสิทธิ์ถาวรที่พักอาศัยและสำนักงานได้ถึง ๓๕ ไร่ โดยเป็นที่ดินสำหรับที่พักอาศัยผู้บริหารหรือช่างฝีมือ ๑๐ ไร่ สำหรับพนักงาน ๒๐ ไร่ และที่ดินสำนักงาน ๕ ไร่ โดยที่ตั้งของสำนักงานและที่อยู่อาศัยไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกัน ซึ่งหมายความว่าสามารถอยู่ได้ทั่วประเทศ
ดังเหตุผลที่กล่าวมา จึงขอให้รัฐบาล และนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกเลิกนโยบายดังกล่าวเพราะไม่มีประโยชน์อันใดเลยสำหรับประเทศไทย ประชาชนคนไทย คนที่ได้ประโยชน์แท้จริง คือกลุ่มทุน นายทุนที่กว้านซื้อที่ดินกักตุนไว้ และนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยกเลิกนโยบายที่เลวร้ายนี้เสียก่อนที่สังคมและประชาชนจะประณามรัฐบาลว่าขายแผ่นดิน ขายชาติ และยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลต้องปฏิรูปที่ดินด้วยการจำกัดการถือครองที่ดิน เก็บภาษีที่ดิน มรดก ในอัตราที่ก้าวหน้า และจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร ประชาชน อย่างเป็นธรรมเพื่อใช้ที่ดินอย่างมีคุณค่าต่อไปเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคง พัฒนาก้าวหน้าต่อไป และขอเรียกร้องต่อพี่น้องประชาชน ผู้ใช้แรงงานจงสื่อสารเพื่อการรับรู้ร่วมกัน การเลือกตั้งใกล้เข้ามาหากรัฐบาลไม่มีการหยุดนโยบายเหล่านี้จะต้องร่วมกันรณรงค์ไม่เลือกพรรคการเมืองที่มีนโยบายขายชาติ ขายแผ่นดิน ดังที่เคยทำร่วมกันมาแล้วในยุคสมัยการออกกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ