WHA ขานรับเอเปค 2022 ชูโมเดล BCG กลยุทธ์หลักธุรกิจ
ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ผู้นำกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมของไทย หนึ่งในพันธมิตรด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค 2022 ตอกย้ำนโยบาย ESG และ BCG เป็นดีเอ็นเอในการดำเนิน 4 ธุรกิจหลัก
โดยบริษัทเร่งเดินหน้าโรดแมปสู่การเป็นเทคคอมพานี ในปี 2024 พร้อมกับบรรลุเป้าหมายซีโร่เวสในนิคมฯ และเน็ตซีโร่ในปี 2050
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการประชุมเอเปค 2022 เป็นอย่างมาก และพร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG และหลักการ ESG ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินงานของบริษัทในทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ
ประกอบด้วย ธุรกิจโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างสมดุลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมกับบรรลุเป้าหมายการสร้างขยะเป็นศูนย์ในนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ หรือเน็ตซีโร่ในปี 2050
“การที่ลูกค้าหลักของดับบลิวเอชเอกว่า 80% เป็นต่างชาติ ทำให้บริษัทมองเห็นเทรนด์โลกที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการเรียกร้องให้ภาคอุตสาหกรรมรับผิดชอบต่อโลก ซึ่งใน 4 ธุรกิจรวมทั้งลูกค้าของดับบลิวเอชเอ มีความเกี่ยวพันกับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก การวางกลยุทธ์ธุรกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG และหลักการ ESG จึงสอดรับกับเป้าหมายขององค์กร”
ทั้งนี้ สำหรับโครงการที่บริษัทกำลังดำเนินงานตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมมาภิบาลใน 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ โดยโครงการกรีนโลจิสติกส์มีแผนที่จะนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้อย่างจริงจังในคลังสินค้าอัจฉริยะและศูนย์กระจายสินค้า ด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์และฉนวนกันความร้อน รวมถึงการติดตั้งระบบควบคุมแสงไฟและอุณหภูมิอัจฉริยะ ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนค่าซ่อมบำรุงและการดำเนินงาน ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
รวมทั้ง การพัฒนาการขนส่งสีเขียว โดยการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในการขนส่งสินค้าเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาวให้กับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในอนาคต โดยขณะนี้บริษัทรอนำเข้ารถบรรทุกและรถกระบะอีวี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทดสอบการใช้งานได้ในปีหน้า
กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยบริษัทตั้งเป้าหมายให้เกิด Zero Waste หรือขยะเหลือศูนย์ ในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอทั้งหมด ซึ่งถือเป็นหนึ่งพันธกิจหลักภายใต้ โครงการ WHA Smart ECO Industrial Estate ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
โดยบริษัทเตรียมร่วมมือกับบริษัทจากต่างประเทศในการสร้างแพลตฟอร์มการจับคู่ขยะอุตสาหกรรมที่เกิดจากโรงงานหนึ่งซึ่งสามารถกลายเป็นวัตถุกิบใหม่ของอีกโรงงานหนึ่งได้ เพื่อให้เกิดการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนในนิคมฯ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน จะมีนำนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรม ผ่านโครงการ Reclamation Water Project หรือการนำน้ำเสียที่บำบัดแล้วมากลับใช้ใหม่ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัว จาก 30,200 ลูกบาศก์เมตร เป็น 60,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ลดการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ และการระบายน้ำทิ้งลงลำรางสาธารณะ เพื่อความมั่นคงด้านแหล่งน้ำในระยะยาว และยังสามารถปรับเป็นน้ำปราศจากแร่ธาตุหรือน้ำคุณภาพสูงสำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมภายในนิคมอุตสาหกรรม
ขณะที่ด้านพลังงานมีพัฒนาโครงการผลิตพลังงานสะอาดจากโซลาร์รูฟท็อปและการผลิตพลังงานจากขยะอุตสาหกรรมผ่านการร่วมทุนในโรงไฟฟ้าชลบุรี คลีน เอ็นเนอร์ยี่ โดยบริษัทเตรียมขยายการลงทุนด้านพลังงานสะอากเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ อาทิ เขื่อนในลาว และโครงการโซลาร์ฟาณืมในเวียดนาม เพื่อสนับสนุนพลังงานสะอาดรวมทั้งลดต้นทุนด้านพลังงานให้ลูกค้าในนิคมฯ คาดว่าปีนี้จะมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์สูงถึง 150 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าถึง 300 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2566
กลุ่มธุรกิจดิจิทัล เปิดตัวผลิตภัณฑ์แอปพลิเคชัน WHAbit เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ซึ่งรวมถึงบริการ Telemedicine ถือเป็นการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเข้าถึงบริการและโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพนังงานและชุมชนโดยรอบนิคมฯ
ขณะเดียวกันบริษัทจะดำเนินการตามแผนโรดแมปการทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลในทุกกลุ่มธุรกิจอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมก้าวสู่การเป็น Tech Company ในปี 2024 โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับทุกกลุ่มธุรกิจซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของภาคอุตสาหกรรม และสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้ในอัตราทวีคูณตามเมกะเทรนด์ของโลก อาทิ เทคโนโลยีดิสรับชั่น โลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซที่เกิดขึ้น
“ดับบลิวเอชเอ จะเป็นเทคคอมพานีในแบบของเราเอง โดยในช่วง 3 ปีนี้ จะนำเทคโนโลยีจากภายนอกผ่านการร่วมมือกับสตาร์ตอัป เข้ามาใช้ในการพัฒนาธุรกิจต่างๆ เช่น ดิจิทัลเฮลธ์เทค โดยจะเก็บรวบรวมข้อมูลในการดำเนินธุรกิจระหว่างนี้เพื่อนำมาต่อยอดและพัฒนาเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้ตามแผน พร้อมทั้งสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายเน็ตซีโร่ในปี 2050 ซึ่งต้องการเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยลดการสร้างคาร์บอนฟุตปริ้นท์และการดูดกลับคาร์บอน ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนในอีโคซิสเต็มบรรลุเป้าหมายได้พร้อมกัน”