ไทย – เวียดนาม เคลื่อนเศรษฐกิจอาเซียน ดันเป้าการค้า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ปี 68
"ประยุทธ์" เปิดทำเนียบรัฐประธานาธิบดีเวียดนาม ชาติแรกในช่วงการประชุมเอเปค 2022 หารือความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมรอบด้าน ผนึกกำลังเศรษฐกิจดันความร่วมมือฟื้นการค้า การลงทุนหลังโควิด-19 ดันมูลค่าการค้าสองประเทศทะลุ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2568
วันนี้ (16 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ นายเหวียน ซวน ฟุก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล และเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยมีพิธีตรวจกองทหารเกียรติยศ และการลงนามในความร่วมมือ (MOU) เอกสารระหว่างสองประเทศร่วมกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าการเยือนของประธานาธิบดีเวียดนามในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสพิเศษในหลายๆด้านทั้งการมาเยือนไทยเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี และถือการมาเยือนไทยของประมุขเวียดนามในรอบ 24 ปี การเยือนในครั้งนี้เกิดขึ้น ทั้งนี้การพบกันของไทย และเวียดนามในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศในภูมิภาคกำลังเผชิญกับความท้าทายระหว่างประเทศรวมทั้งอยู่ระหว่างการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์ โควิด-19
ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการหารือกันในครั้งนี้เป็นอย่างมากเห็นได้จากคณะรัฐมนตรี และผู้บริหารระดับสูงที่เข้าร่วมการหารือกัน รวมทั้งจะมีกิจกรรมทางธุรกิจไทยและเวียดนามโดยนักธุรกิจชั้นนำทั้ง สองประเทศจะมารวมตัวกันกว่า 300 คนเพื่อร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ เน้นที่การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
ส่วนในด้านเศรษฐกิจนั้นไทยและเวียดนามเป็นประเทศที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของภูมิภาคทั้งในเรื่องของขนาดเศรษฐกิจและศักยภาพของการเจริญเติบโตเรามีความเชื่อมโยงของเศรษฐกิจกันอย่างลึกซึ่งทางการค้าและการลงทุนทั้งสองประเทศจึงเห็นพ้องร่วมกันจะพักดันความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นมากขึ้นเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศและภูมิภาคครอบคลุมทั้งการค้าการลงทุนการเชื่อมโยงการคมนาคมการเงินการธนาคารและเศรษฐกิจดิจิทัล
และจะมีการเปิดใช้งานคิวอาร์โค้ด เพื่อให้การชำระสินค้าและบริการระหว่างกันสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นทั้งสองฝ่ายเร่งอำนวยความสะดวกการค้าระหว่างกันและการนำผ่านสินค้าไปยังประเทศที่สาม ทั้งเรื่องของยาเวชภัณฑ์ปศุสัตว์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการค้า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีมูลค่า 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์ทั้งสองประเทศจะส่งเสริมการลงทุนระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้นและสนับสนุนนักลงทุนของทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
“ไทยเวียดนามล้วนมีพลังเศรษฐกิจเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางภูมิภาคให้มีการเติบโตมากยิ่งขึ้นตามแนวทางการเชื่อมโยงระหว่างห่วงโซ่อุปทานในสาขาที่เกื้อกูลกันการดูแลเศรษฐกิจฐานรากและผู้ประกอบการท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและภาคกลางและภาคใต้ของเวียดนามและการเชื่อมโยงนโยบายเศรษฐกิจสีเขียวของเวียดนามและ นโยบายบีซีจีของไทย”
“ เท่าที่ด้วยกันหารือกันหลายประเด็นครอบคลุมความสัมพันธ์ในทุกมิติอยู่บนมิตรและความเชื่อมั่นอยู่บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจผลลัพธ์ที่สำคัญมีในเรื่องของความมั่นคงการเมืองที่เราต่างมีความสำคัญของภูมิภาคและอนุภูมิภาคเราพร้อมที่จะพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพและความมั่นคงร่วมกันแลกเปลี่ยนการเยือนการปรึกษาหารือในกรอบด้านบนการเมืองและความมั่นคงทางการทหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างกันเพื่อที่จะได้เป็นกรอบความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในทุกด้านต่อไป"
ทั้งสองประเทศได้มีความตกลงร่วมกันในเอกสารร่วมกัน 5 ฉบับได้แก่
1.แผนยุทธศาสตร์ในการเป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างไทยและเวียดนามในระยะห้าปีข้างหน้า
2.ความร่วมมือที่จะช่วยเหลือร่วมกันในเรื่องของคดีแพ่ง
3.เอกสารว่าด้วยการสถาปนาความร่วมมือเมืองพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดขอนแก่น กับ นครดานัง
4.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกับหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนามและ
5.สัญญาการสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้ากับธนาคารพาณิชย์เพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศระหว่างผู้ประกอบการไทยและเวียดนาม
“ไทยและเวียดนามพร้อมที่จะเปิดศักราชใหม่ของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันอย่างรอบด้านโดยเฉพาะในโอกาสที่ทั้งสองประเทศ มีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ ครบรอบ 10 ปีของการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในปี 2566 ซึ่งได้เชิญนายกรัฐมนตรีของเวียดนามเยือนไทยอย่างเป็นทางการโดยทั้งสองฝ่ายจะมีการประสานงานเพื่อจัดการประชุมร่วมกันในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว