ตลาดหลักทรัพย์ฯ มั่นใจ 'ตลาดทุนไทย' โตแกร่ง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มั่นใจ 'ตลาดทุนไทย' โตแกร่ง

‘ภากร’ มั่นใจเศรษฐกิจไทยยังโตเด่น แม้เศรษฐกิจโลกเผชิญความท้าทายที่สูงขึ้น ชูบริษัทจดทะเบียนไทยเข้มแข็ง มีจุดเด่นด้านความยั่งยืน แต่ห่วงภาษีขายหุ้นทำสภาพคล่องหด บริษัทจดทะเบียนระดมทุนยากขึ้น เผยหารือสรรพากรแล้ว หวังทบทวนอัตราจัดเก็บใหม่

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ มีปัจจัยท้าทายเข้ามากระทบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติในบางหลักทรัพย์ รวมไปถึงกรณีที่ภาครัฐประกาศเก็บภาษีขายหุ้นซึ่งจะเริ่มใช้ในปีหน้า ขณะที่ปัจจัยเดิมซึ่งคอยกดดันตลาดหุ้นไทยอยู่ก็ยังไม่หายไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด รวมไปถึงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ตลอดจนดอกเบี้ยโลกที่เป็นขาขึ้น ทำให้เม็ดเงินหรือสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยลดลง 

โดยปัจจัยเหล่านี้จะยังกดดันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีหน้าด้วย แต่ก็จะมีปัจจัยบวกจากสถานการณ์โควิดที่คาดว่าจะดีขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามามากขึ้น เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ในระดับ 3.7% จากปีนี้คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ราว 2.8% 

ทั้งนี้ มองว่าตลาดทุนไทยยังมีความโดดเด่นอยู่มาก โดยมีบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.) ที่แข็งแกร่ง มีการกระจายรายได้ไปต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงถึง 40% ดังนั้นถ้าปีหน้าเศรษฐกิจกลุ่มอาเซียนยังขยายตัวแข็งแกร่ง บจ. เหล่านี้ก็จะยังมีผลดำเนินงานที่ดี ซึ่งปัจจุบันมีหลายอุตสาหกรรมที่ผลดำเนินงานกลับมาดีเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิดแล้ว เช่น กลุ่มเทคโนโลยี  กลุ่มบริการ กลุ่มพลังงาน ฯลฯ นอกจากนี้ บจ.ไทย ยังเก่งในเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งปีนี้มี บจ.เข้าไปอยู่ในดัชนี DJSI เพิ่มขึ้นอีก 3 บริษัท รวมเป็น 26 บริษัท

 

 

ส่วนกรณีที่รัฐบาลเตรียมจัดเก็บภาษีขายหุ้น มองว่าภาครัฐต้องพิจารณารายละเอียดอย่างรอบคอบ ใน 3 ประเด็น คือ 1.อัตราภาษีที่จัดเก็บต้องเหมาะสม ไม่เป็นภาระของผู้ลงทุนที่สูง  2.การเก็บภาษีต้องไม่ซ้ำซ้อน และ 3. ช่วงเวลาการจัดเก็บภาษีควรต้องเหมาะสม ถ้าภาครัฐมองว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสม ก็ควรให้เวลาปรับตัวในระยะเวลาที่เหมาะสมด้วย  

ดร.ภากร กล่าวว่า เรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์มีความเป็นห่วงมากสุดคือ การเข้าระดมทุนของบริษัทในอนาคตจะยากขึ้น เพราะการกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอ จะได้ราคาที่ต่ำ เพราะ ค่าP/E ที่เคยได้สูงนั้น จะปรับตัวลดลงจากผล กระทบข้างเคียงของการเก็บภาษี ส่งผลให้ความสนใจจองซื้อหุ้นมีน้อยลงตามไปด้วย  ทำให้บริษัทที่เข้ามาระดมทุนได้เม็ดเงินระดมทุนน้อยลง ซึ่งอาจมีผลต่อการขยายธุรกิจของบริษัท ทำให้การจ้างงานลดลง กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย  และยังทำให้เม็ดเงินที่ภาครัฐจะได้จากการเก็บภาษีน้อยลงไปด้วย

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์