"อมตะ" คาดยอดขายนิคมฯปี 66 โต10% สัญญาณต่างชาติย้ายฐานมาไทยทยอยฟื้นตัว
"อมตะ" มั่นใจปี 2566 ยอดขายพื้นที่ในนิคมฯโต 10% จากปีก่อน จับสัญญาณการลงทุนจากต่างชาติทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนกลุ่มอิเล็กทรอนิสก์ ดาต้าเซ็นเตอร์ มองเศรษฐกิจโลกถดถอยกระทบระยะสั้น เหตุการลงทุนภาคการผลิตต้องมองยาว พร้อมปักธงเดินหน้าพลังงานทดแทนเพิ่ม
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA เปิดเผยว่า แนวโน้มการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมปี 2566 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10% เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตรถจักรยานยนต์ การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) ที่นักลงทุนเริ่มใช้ไทยเป็นฐานการผลิตมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) อาจจะกระทบการลงทุนแต่มองเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้นขณะที่การลงทุนภาคการผลิตเป็นการลงทุนที่มองระยะยาว
"อมตะ เห็นการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ การผลิตจักรยานยนต์ การพัฒนาดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนที่จะเข้ามาทั้งนิคมอมตะซิตี้ ระยอง และนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี รวมทั้งกลุ่มดาต้าเซนเตอร์นักลงทุนเริ่มใช้ประเทศไทยเป็นฐานมากขึ้น ซึ่งนิคมอมตะฯ มีระบบสาธารณูปโภคเพียงพอเพื่อการรองรับ โดยเฉพาะไฟฟ้า ซึ่งบริษัทมีโรงไฟฟ้าเป็นของตัวเอง รวมถึงการพัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน"
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2565 ด้านยอดขายที่ดินในประเทศไทย เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อยู่ 700 ไร่ โดยเฉพาะ นิคมฯ ที่จ.ชลบุรี ที่พบว่ามีการขายที่ดินดีมาก เนื่องจากนิคมฯของอมตะเป็นพื้นที่มีศักยภาพ สำหรับนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนในพื้นที่นิคมฯถือเป็นกลไกหนึ่งที่จะสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม
"ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยเป็นสิ่งที่กังวลเพราะจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุน แต่เชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้นเพราะแต่ละโครงการเมื่อมีการตกลงซื้อขายที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กว่าจะพัฒนาโครงการและเดินเครื่องการผลิตต้องใช้เวลาอีก 1 ปี"
สำหรับการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย อมตะได้วางแผนการบริหารตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่มีความจำเป็นออกไป เพิ่มรายได้ประจำ (Recurring Income) อาทิ ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ค่าเช่าอาคารโรงงานสำเร็จรูป ฯลฯ ซึ่งบริษัทมีรายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นในระดับ 50% และหวังว่าจะมีสัดส่วนรายได้จาก recurring income เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
นายวิบูลย์ กล่าวว่า ในปี 2566 ธุรกิจสาธารณูปโภคน้ำและไฟฟ้า 0tมีการเติบโตต่อเนื่อง จากการลงทุนใหม่และฐานการผลิตเดิม โดยการลงทุนใหม่ต้องพิจารณาจากปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ได้แก่ การเปิดประเทศของจีน การให้สิทธิประโยชน์ที่ดี โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้มีการปรับสิทธิประโยชน์ของประเทศไทยให้ดีขึ้น รวมทั้งการพัฒนาพลังงานทดแทนเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคการผลิต