“โออาร์” ติดปีกลุยตลาดโลก “ดิษทัต” ดันลงทุน 5ปี 1.1 แสนล้าน
“ดิษทัต” ซีอีโอใหม่ “โออาร์” กางแผน 5 ปี ลงทุน 1.1 แสนล้าน 45% เทกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ ลุยตลาดโลก สร้างโกบอลแบรนด์ ผลึกกลุ่ม ปตท.เป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐาน EV ไทย เศรษฐกิจฟื้นดันยอดขายน้ำมันปีนี้โต ชูแนวคิด “RISE OR” เติบโตมั่นคง-ยั่งยืน ไม่หวั่น “บางจาก” เทคโอเวอร์ “เอสโซ่”
บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้กำหนดทิศทางการดำเนินปี 2566 หลังจากได้ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งจะสานต่อวิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth” หรือ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน”
นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ได้เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมสานต่อวิสัยทัศน์ของ OR และมุ่งผลักดัน OR ให้ทะยานไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน มุ่งเน้นการเติบโตร่วมกับพันธมิตรพร้อมตั้งเป้าหมายจะมีรายได้จากความร่วมมือในการทำธุรกิจราว 50%
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจ 5 ปีนั้น OR ได้เตรียมแผนงบลงทุนที่ 1.1 แสนล้านบาท ในขณะที่งบลงทุนปี 2566 จะใช้งบลงทุนที่ 31,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจ Seamless Mobility ที่ 22%, กลุ่มธุรกิจ All Lifestyles ที่ 45% , กลุ่มธุรกิจ Global Market ที่ 16% และ กลุ่ม OR Innovation ที่ 17% แบ่งเป็น
1.Ecosystem Design หรือการออกแบบระบบนิเวศสำหรับธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ตั้งเป้าปี 2030 จะติดตั้งตู้ชาร์จไฟฟ้าครบ 7,000 ตู้ จากปัจจุบันกว่า 300 ตู้ชาร์จ เพื่อให้ประชาชนสามารถได้เข้าถึงการใช้งานที่ครอบคลุม พร้อมพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อง่ายต่อการใช้งาน สามารถตรวจสอบว่ามีตู้ชาร์จอยู่ที่สถานีไหนบ้าง จะส่งผลให้ OR มีอีโคซิสเต็ม และเกิดพาร์ทเนอร์ชิปอีวีในไทย ก้าวสู่ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐาน EV ในประเทศไทยภายในปีนี้
“OR จะเป็นผู้นำด้านอีโคซิสเต็มอีวี รองรับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งาน และเพื่อก้าวสู่ความยั่งยืนจะต้องคุยกับพาร์ทเนอร์ โดยจะหารือในเรื่องของกฎเกณฑ์ของสัญญาธุรกิจสถานีพีทีที สเตชั่น ซึ่งสาขาอนาคตที่จะเปิดใหม่ต้องมีองค์ประกอบด้านพลังงานสะอาดที่มาจากโซลาร์ รูฟ โดยขณะนี้ได้หารือกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เพื่อทำระบบกักเก็บพลังงาน สร้างอีโคซิสเต็มด้านพลังงานสะอาด อีกไม่เกิน 2 เดือนจะประกาศแผนให้ทราบอีกครั้ง"
เพิ่มพันธมิตรใน-นอกประเทศ
2.Professional Management หรือการพัฒนาบุคลากรภายในควบคู่กับการสรรหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญจากภายนอก โดยเป้าหมายหลักการทำงานต่อจากนี้ คือ สานต่อวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมการให้โอกาสในการดำเนินธุรกิจ จึงอยากทำให้ธุรกิจปัจจุบันแข็งแกร่ง ขับเคลื่อนองค์กร และผู้บริหารให้มีแนวคิดและกลยุทธ์เดียวกัน พร้อมกับหาธุรกิจใหม่เพื่อความก้าวหน้า และสร้างความเข้มแข็งให้กับพันธมิตรและ OR
3.Strategic Alliance หรือการสร้างพันธมิตรเพื่อหาโอกาสขยายธุรกิจทั้งภายในและต่างประเทศ ทั้งนี้ จากการที่ตนมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจต่างประเทศ สิ่งสำคัญคือ จะต้องรู้เขารู้เรา ดังนั้น การลงทุนในประเทศใหม่ๆ จะต้องหาพาร์ทเนอร์ให้เจอ พร้อมกับวิเคราะห์และทำงานร่วมกัน ดังนั้น คณะกรรมการ OR ทุกคนจะต้องช่วยกันผลักดัน ส่วนนโยบายการแทรกแซงทางการเมืองนั้น ยืนยันว่า OR ดำเนินธุรกิจมายาวนาน ที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ การร่วมทำงานกับทุกภาคส่วนทั้งพาร์ทเนอร์และรัฐบาล
4.Sustainability Criteria หรือการกำหนดหลักเกณฑ์ด้าน People & Planet ซึ่งในการตอบโจทย์สังคมและสิ่งแวดล้อม OR จะสร้างความรู้สึกให้กับผู้ใช้บริการเมื่อเข้ามายังสถานีบริการน้ำมันพีทีที สเตชั่น จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในปั๊มน้ำมันที่มีสีเขียวมากยิ่งขึ้น รวมถึงจำนวนตู้ชาร์จอีวี และทุกอย่างที่เป็นพลังงานสะอาดมากขึ้น
“สถานีน้ำมันหรือคลังน้ำมันของ OR ในระยะ 5 กิโลเมตร ต้องทำให้ชุมชนบริเวณนั้น ๆ มีความสุข พร้อมกำหนดกฎเกณฑ์ ข้อบังคับในเรื่องของความยั่งยืนกับพันธมิตร เช่น สถานีบริการน้ำมันต่อจากนี้จะมุ่งสู่กรีนมากยิ่งขึ้น อาทิ การติดตั้งโซลาร์ รูฟ หรือแม้กระทั้งแก้วกาแฟที่อเมซอน ก็จะต้องเป็นแก้วไบโอเพื่อนำมารีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ง่าย”
ยึดแนวทางพัฒนายั่งยืน
สำหรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) ซึ่งในโลกมี 17 หัวข้อนั้น จะเป็นหัวข้อที่นำไปสู่เป้าหมายความยั่งยืน OR พร้อมเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนให้โอกาสคนตัวเล็กเพื่อสร้างรายได้ให้ยั่งยืน อาทิ การแสวงหาโอกาสผ่านแพลตฟอร์มของ OR ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในการเข้าถึงสินค้าชุมชน เป็นต้นซึ่ง OR ได้กำหนดเป้าหมายปี 2030 ไว้ 3 เป้าหมาย คือ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน 15,000 ชุมชน ให้มีศักยภาพทางเศรษฐกิจดีขึ้น กระจายรายได้ให้คนมากกว่า 1 ล้านคน และการคำนึงด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การบริหารจัดการด้านขยะ มุ่งสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ
ทั้งนี้ จากพอร์ตฟอลิโอของ OR ที่มีความได้เปรียบตามพันธกิจ 4 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว ซึ่ง OR พร้อมที่จะปรับบอร์ตธุรกิจด้านพลังงานเพื่อความมั่งคนสู่พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น พร้อมกับแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่เพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต
ไม่หวั่น“บางจาก”ควบ“เอสโซ่”
นายดิษทัต กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของการเติบโตของธุรกิจในปีนี้นั้น หากดูในเชิงสภาพแวดล้อมและการท่องเที่ยวดีขึ้น ซึ่ง OR ทำธุรกิจค้าขายน้ำมัน เมื่อดีมานด์เพิ่มขึ้นก็จะซัพพลายผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น จึงมั่นใจว่ากลุ่ม Mobility ในส่วนของยอดขายน้ำมันก็จะโตจากปี 2565 แน่นอน
สำหรับประเด็นการเข้าซื้อหุ้นเอสโซ่ ประเทศไทย ของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นั้น มองว่า OR พร้อมในการแข่งขันอยู่แล้ว อย่างที่บอก OR มีธุรกิจที่เข้มแข็งใน 4 พันธกิจ สามารถผนึกกำลังและทำงานร่วมกัน จึงมั่นใจว่าจะแข่งขันในตลาดได้
สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือน ปี 2565 OR มีกำไรสุทธิ 11,114 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ที่ 1,993 ล้านบาท เนื่องจากทั้งรายได้ขายและบริการและ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น 229,557 ล้านบาท และ 3,437 ล้านบาทตามลำดับ เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ภาครัฐใช้มาตรการผ่อนคลายมากกว่า ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ
เช่นเดียวกันกับด้านปริมาณขายก็ปรับเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่หากเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน ในด้านของรายได้ขายและบริการในไตรมาส 3 กลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Global มีรายได้จากการขายและบริการลดลงจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและปริมาณการขายที่ลดลง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle มีรายได้ขายใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากมาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่อนคลายขึ้น ส่วน EBITDA ในไตรมาส 3 ลดลงในทุกกลุ่มธุรกิจเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อน
ลุยนอกสร้าง“โกบอลแบรนด์”
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 OR ได้เข้าลงทุนใน บริษัท ดุสิต ฟู้ด จำกัด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจ Lifestyle โดยเพิ่มความหลากหลายของการดำเนินธุรกิจอาหาร รวมทั้งสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกับพันธมิตร รวมทั้งได้เข้าลงทุนในบริษัท Traveloka ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ดิจิทัล ด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีบริการที่หลากหลาย เพื่อให้ OR เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้บริโภค
ตลอดจนเป็นการสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันของ Traveloka และ OR ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังได้ร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตรในการพัฒนาธุรกิจเพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการ Platform ของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ยกระดับการให้บริการการเคลื่อนที่ หรือ Mobility as a Service (MaaS) ตามพันธกิจการสร้าง Seamless Mobility
อีกทั้ง ยังได้เปิดร้าน คาเฟ่ อเมซอน สาขาแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย และเปิดสาขาที่ 14 ในประเทศเวียดนาม นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่ คาเฟ่ อเมซอน จะขยายธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น และมุ่งสู่การเป็น Global Brand ต่อไป สำหรับสถานีบริการน้ำมันพีทีทีสเตชั่นและคาเฟ่ อเมซอนสิ้นปี 2565 OR มีสถานีรวมทั้งในและต่างประเทศอยู่ที่ 2,548 สถานี ในประเทศ 2,155 สถานี ขณะที่คาเฟ่อเมซอนมียอดรวมทั้งในและต่างประเทศรวม 4,255 แห่ง ในประเทศ 3,875 แห่ง
ดันแนวคิด“RISE OR”
อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวคิด “RISE OR” ที่สะท้อนถึงบทบาทความเป็นผู้นำที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนองค์กร ประกอบด้วย
R : Result การมุ่งสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม, I : Intelligence การตัดสินใจที่ฉลาดบนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสารที่มีประสิทธิภาพ S : Synergy การผนึกกำลังของธุรกิจทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม ปตท.และ E : Entrepreneurship การทุ่มเทในบทบาทหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ OR ได้ให้ความสำคัญกับการลงมือทำที่ชัดเจนทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1.Synchronization for Ecosystem หรือ การประสานธุรกิจพลังงานและไลฟสไตล์ให้เป็นหนึ่ง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของORผ่านการใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของ แต่ละธุรกิจ ในการเสริมความเข้มแข็งซึ่งกันและกันให้สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตแห่งอนาคต ทั้งด้านofflineและonline
2.Synergy for Impact หรือ การผนึกกำลังของธุรกิจทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม ปตท. เพื่อยกระดับผลกระทบเชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดแบบครบวงจร พร้อมเปิดประตู ความร่วมมือสู่การเติบโตร่วมกัน
3.Sustainability for Future หรือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของ OR เพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย OR 2030 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
S:SMALL โอกาสเพื่อคนตัวเล็กผ่านการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนม
D:DIVERSIFIED โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ ผ่านศักยภาพของORที่จะเป็นPlatformในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม พร้อมเติบโตไปด้วยกัน
G:GREEN โอกาสเพื่อสังคมสะอาดผ่านการส่งเสริม ธุรกิจทุกประเภทของ OR ให้เป็นธุรกิจสีเขียว เพื่อสนับสนุนให้เกิดสังคมคาร์บอนต่ำ อย่างยั่งยืน และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 ตลอดจนมุ่งสู่การบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี2050
“วันนี้ OR พร้อมที่จะติดปีกทะยานไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยจะเป็นการเติบโตผ่านการร่วมมือกับธุรกิจทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม ปตท.เพื่อสนับสนุนกันและกันผ่านการใช้ Asset ของ OR ที่มี ตลอดจนความสามารถในการขยายธุรกิจ ในขณะที่ยังคงเติมเต็มทุกความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบครัน” นายดิษทัตกล่าว