ออมสินกวาดกำไร 2.7 หมื่นล้าน นำส่งคลัง 17,349 ล้านบาท
ออมสินเผยผลงานปี 65 กำไรพุ่ง 2.7 หมื่นล้าน คุมหนี้เสียอยู่ที่ระดับ 2.5% มีเงินสำรองรองรับความเสียหายจากหนี้เสียแตะระดับแสนล้านครั้งแรกเป็นประวัติการณ์ พร้อมช่วยเหลือประชาชนได้กว่า 16 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงิน 4.75 หมื่นล้าน
ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน วิทัย รัตนากร ระบุ ผลการดำเนินงานปี 2565 ธนาคารสามารถทำกำไรได้รวม 27,126 ล้านบาท อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเป็นกำไรสุทธิในระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมาและสูงกว่าปี 2562 ก่อนเปลี่ยนจุดยืนเป็นธนาคารเพื่อสังคม ซึ่งผลกำไรเกิดจากการที่ธนาคารลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำกำไรไปจัดสรรทำภารกิจช่วยสังคมตามนโยบายรัฐ และนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินจำนวน 17,349 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดนำส่งสูงสุดอันดับ 4 จากรัฐวิสาหกิจ 58 แห่ง
มียอดสินทรัพย์รวม 3,104,882 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2562) มีเงินฝากรวม 2,646,049 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 9.7% จากปี 2562) มีสินเชื่อรวม 2,296,928 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.7% จากปี 2562) และระดับความแข็งแกร่งพิจารณาจากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 17.69%
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังสามารถควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ให้อยู่ในระดับ 2.55% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายควบคุม และมีเงินสำรองเพื่อรองรับความเสียหายจากหนี้เสีย รวม 101,878 ล้านบาท ซึ่งเป็นการแตะระดับแสนล้านบาทครั้งแรกเป็นประวัติการณ์ ช่วยเสริมแกร่งให้ธนาคารมีความมั่นคงในระยะยาว คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPLs (Coverage Ratio) สะท้อนความมั่นคงมีเสถียรภาพของธนาคารที่ระดับ 174.28%
ทั้งนี้ หลังจากที่ธนาคารออมสินได้เปลี่ยนมาสู่การเป็นธนาคารเพื่อสังคมเต็มรูปแบบตั้งแต่กลางปี 2563 ธนาคารได้ตอบรับนโยบายรัฐบาลในการเป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ส่งต่อความช่วยเหลือไปยังภาคธุรกิจและประชาชน โดยทำภารกิจสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม (Social Impact) ได้ในวงกว้าง ภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี มีผู้ได้รับประโยชน์เป็นรูปธรรมผ่านโครงการต่าง ๆ มากถึง 16 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงินที่ธนาคารให้การสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนแล้วกว่า 47,500 ล้านบาท ผ่านมิติความช่วยเหลือ 3 ด้าน ได้แก่
1.มิติการช่วยลดต้นทุนการกู้ สร้างแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำและเป็นธรรม ผ่านโครงการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ โครงการลดดอกเบี้ยสินเชื่อครู โครงการดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด ทำให้ประชาชนมีทางเลือกการกู้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง คิดเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 32,800 ล้านบาท
2. มิติการช่วยลดภาระของลูกหนี้ ทั้งการออกมาตรการพักชำระหนี้และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงวิกฤติโควิด- 19 ซึ่งทำให้ธนาคารมีรายได้ลดลงกว่า 10,700 ล้านบาทจากการหยุดรับรู้รายได้ดอกเบี้ย
และ 3. มิติการช่วยสนับสนุนงบประมาณ จำนวนกว่า 4,000 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพื่อสังคม เช่น โครงการสร้างงานสร้างอาชีพ และโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกมากมายภายใต้กรอบแนวคิด ESG เป็นต้น
สำหรับปี 2566 มีแผนยกระดับการสร้างผลกระทบเชิงบวก Social Impact ผ่านมิติการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1. สร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม ผ่านบริการสินเชื่อที่ดิน “มีที่ มีเงิน” และบริการ Digital Lending ทั้งส่วนที่ให้บริการผ่านแอป MyMo และให้บริการผ่าน Non-Bank ที่จะเปิดตัวครั้งแรกในปี 2566 นี้
2.พัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านการสร้างผู้ประกอบการ สร้างชุมชนเข้มแข็ง และการสร้างความมั่นคงยามเกษียณแก่ประชาชน
และ 3.การบูรณาการแนวคิดเพื่อสังคมลงในภารกิจสำคัญของธนาคาร (Social Mission Integration) ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product) ด้านกระบวนการดำเนินงาน (Process) และการทำโครงการพิเศษต่าง ๆ (Project) โดยธนาคารตั้งเป้าให้ความช่วยเหลือและสร้างประโยชน์แก่ประชาชนและสังคมได้ในระดับที่ลึกและกว้างขึ้น (Social Impact at Scale) และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบ SDGs