เมืองไทยประกันชีวิตคาดเศรษฐกิจฟื้น หนุน ‘เบี้ย’ โต 10%

เมืองไทยประกันชีวิตคาดเศรษฐกิจฟื้น หนุน ‘เบี้ย’ โต 10%

ปี 2565 บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความแข็งแกร่ง มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่ที่ 10% และเบี้ยประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงที่ 7%

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต หรือ MTL สาระ ล่ำซำ ระบุ ปี 2565 บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความแข็งแกร่ง มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับใหม่ที่ 10% และเบี้ยประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงที่ 7% แม้จะเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายที่หลากหลาย จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว หลังจากการระบาดของโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคในโลกยุคใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงแต่ยังไม่มีผลต่อการต่ออายุกรมธรรม์ของลูกค้าอย่างชัดเจน 

สำหรับภาพรวมในปี 2566 มองว่าปัจจุบันเศรษฐกิจมีความผันผวน ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุน รวมถึงดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น มีผลต่อธุรกิจประกันชีวิต เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจประกันชีวิต เนื่องจากบริษัทต้องลงทุนในระยะยาวเพื่อให้สอดคล้องกับแผนลงทุนในระยะยาวของลูกค้า อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าปีนี้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ในทิศทางที่ดี เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อเริ่มชะลอ จะเป็นแรงกระตุ้นกำลังซื้อ

สำหรับธุรกิจในภูมิภาค CLMV มีแผนที่จะขยายลงทุนอีกในอาเซียนต่อเนื่อง จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยประเทศกัมพูชาบริษัท Sovannaphum Life Assurance (Cambodia) เบี้ยรับโต 24% และมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 34% เป็นอันดับ 1 ด้านประกันชีวิต ส่วนบริษัท Dara Insurance เบี้ยรับโต 64% และมีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14% ขณะที่ใน สปป.ลาว บริษัท ST-Muang Thai Insurance มีเบี้ยรับโต 25% และเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 51% และในประเทศเวียดนาม บริษัท MB Ageas Life เบี้ยรับโต 11%  

ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมประมาณ 600,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ตราสารหนี้ 80% และตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงกองอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 13-14% และอื่นๆ อีกประมาณ 6-7% ซึ่งในปีที่ผ่านมาผลตอแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ที่ 3-4% โดยปีนี้แผนการลงทุนโดยจะจับจังหวะในการลงทุนในหุ้น เน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET 100 และเน้นการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ มั่นใจว่าปีนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ที่ 3-4% 

ด้านความแข็งแกร่งและด้านเสถียรภาพทางด้านการเงิน บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating) จาก S&P Global Ratings อยู่ที่ระดับ BBB+ โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพ และจาก Fitch Ratings อยู่ที่ระดับ A- โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating) ที่ AAA(tha) โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งถือเป็นอันดับเครดิต ในระดับประเทศที่สูงที่สุด และยังมีความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยสะท้อนจากอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนสูงกว่า 300% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรง ตามเกณฑ์ที่ 140%

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 11 เดือนของปี 2565 (ม.ค.-พ.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 61,831.22 ล้านบาท มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 11.46% โดยในเดือน พ.ย. ปี 2565 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 5,497.39 ล้านบาท มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 10.41% ส่วนเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ 11 เดือน อยู่ที่ 23,175.75 มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 15.40% เฉพาะในเดือน พ.ย. ปี 2565 มีเบี้ยประกันภัยรับรายอยู่ที่ 1,757.84 ล้านบาท มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 12.71%