พาณิชย์ เผย ปี 65 ไทยใช้สิทธิเอฟทีเอ-อาร์เซ็ป-จีเอสพี ดันการค้าไทยพุ่ง
กรมการค้าต่างประเทศ เผย ยอดรวมการใช้สิทธิลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี ขยายตัวดีต่อเนื่อง ดันมูลค่าการค้าไทยพุ่ง ตั้งเป้าค้าชายแดน-ผ่านแดนไทยปีนี้ทะลุ 1.06 ล้านล้านบาท พร้อมเร่งติดตามมาตรการ AC 3 สินค้า
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการค้าต่างประเทศ กรมฯ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้สิทธิในการลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงต่าง ๆ เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งเดินหน้าผลักดันการค้าชายแดน-ผ่านแดนและการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง เป็นต้น เพื่อให้มูลค่าการค้าของไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงติดตามความคืบหน้าการใช้มาตรการทางการค้าของประเทศต่าง ๆ โดยในเดือนม.ค. 2566 มีความเคลื่อนไหวด้านการใช้สิทธิในการลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีและมาตรการทางการค้า
การใช้สิทธิลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ (FTA) จำนวน 12 ฉบับ จากความตกลงฯ ที่ไทยมีอยู่ 14 ฉบับ (ไม่รวมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - ฮ่องกง ที่ภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ในทุกรายการสินค้า และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย - นิวซีแลนด์ (TNZCEP) ที่ใช้ระบบการรับรองตนเองของผู้ส่งออก (self - declaration)) โดยในปี 2565 (ม.ค. – ธ.ค.) มีมูลค่ารวม 84,633.16 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.90% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนการใช้สิทธิ 82.11% ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นในกรอบความตกลงฯ ต่างๆ ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน ทุเรียนสด และเนื้อไก่และเครื่องในไก่ที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย เป็นต้น
กรอบความตกลงที่มีการใช้สิทธิเอฟทีเอ สูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.อาเซียน ยังคงครองแชมป์ โดยมีมูลค่า 30,793.13 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.17% 2. อาเซียน - จีน (ACFTA) มูลค่า 26,290.61 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.80% 3. ไทย - ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 6,723.08 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.47% 4. ไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 6,040.69 ล้านดอลลาร์ หดตัวลงเล็กน้อยที่ 1.90% และ 5. อาเซียน - อินเดีย (AIFTA) มูลค่า มูลค่า 5,723.83 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30.76%
นอกจากนี้ ยังมีการใช้สิทธิตามกรอบความตกลงอื่น ๆ ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน - เกาหลีใต้(AKFTA) มูลค่า 3,624.87 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.77% ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ส่งออกไปออสเตรเลีย มูลค่า 2,710.46 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 17.01% และความตกลงเขตการค้าเสรีไทย – ชิลี (TCFTA) มูลค่า 593.15 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 4.02%
สำหรับความตกลง RCEP ปี 2565 (ม.ค.- ธ.ค.) มีการส่งออกไปยัง 8 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย และเวียดนาม มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 994.77 ล้านดอลลาร์ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP น้ำมันหล่อลื่น (เกาหลีใต้) ปลาทูน่ากระป๋อง ปลาสคิปแจ็ค และปลาโบนิโต ชนิดซาร์ดา (ญี่ปุ่น) มันสำปะหลังเส้น (จีน) เป็นต้น
ในส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ซึ่งเป็นระบบที่ไทยได้รับสิทธิประโยชน์จาก สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศในเครือรัฐเอกราช โดยในปี 2565 (ม.ค. – พ.ย.) มีมูลค่ารวม 3,472.61 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 54.85% โดยตลาดสหรัฐอเมริกาครองแชมป์ มีมูลค่าการใช้สิทธิ ถึง 3,200.09 ล้านดอลลาร์ เพิมขึ้น 4.18% สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 253.89 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.05% และนอร์เวย์ มูลค่า 15.31 ล้านดอลลาร์ 12.87% ส่วนกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) มีมูลค่า 3.32 ล้านดอลลาร์
สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP สูง ได้แก่ ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศอื่น ๆ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง กรดมะนาว หรือกรดซิทริก เลนส์แว่นตาทำจากวัสดุอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แก้ว หีบเดินทางขนาดใหญ่ กระเป๋าใส่เสื้อผ้า หลอดหรือท่อทำด้วยทองแดงบริสุทธิ์ ไร้รอยต่อ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ระบบส่งกำลังอื่น ๆ ภายใต้พิกัด 8701 และ 8702-8705 และพลาสติกอื่น ๆ ตามลำดับ
แม้ว่าโครงการ GSP สหรัฐฯ ได้สิ้นสุดอายุไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2563 และขณะนี้สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการดำเนินขั้นตอนการต่ออายุโครงการฯ ส่งผลให้ผู้นำเข้าสินค้าที่เคยได้รับสิทธิ GSP สหรัฐฯ จะต้องชำระภาษีในอัตราปกติ (MFN rate) ไปจนกว่าโครงการฯ จะได้รับการต่ออายุ แต่เพื่อเป็นการรักษาสิทธิฯ ผู้นำเข้าสามารถยื่นขอใช้สิทธิ GSP ในการนำเข้าสินค้าได้ตามปกติ โดยที่ผ่านมาสหรัฐฯ จะทำการคืนภาษีเมื่อโครงการฯ ได้รับการต่ออายุแล้ว
ในส่วนการส่งออกผ่านการค้าชายแดนและผ่านแดน ปี 2566 กรมฯ ร่วมกับภาคเอกชนตั้งเป้าไว้ที่ 1,060,732 ล้านบาท หรือโตเพิ่ม 3% จากปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 1,029,837 ล้านบาท โดยแผนผลักดันที่จะทำให้เป็นไปตามเป้า ได้แก่ แก้ปัญหาการค้าชายแดนและผ่านแดนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผ่านการลงพื้นที่และติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด จัดมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน บูรณาการร่วมกับจังหวัดชายแดนเพื่อผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนเพื่อการขนส่งสินค้าให้ครบทุกจุด โดยสถานะการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบัน ฝั่งไทยเปิด 80 แห่ง จากทั้งหมด 97 แห่ง ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเปิด 72 แห่ง
นายรณรงค์ กล่าวว่า ด้านความคืบหน้ากรณีสหรัฐฯ เปิดไต่สวนมาตรการ AC (Anti – circumvention หรือมาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน) กับ 3 สินค้าไทย ได้แก่ 1. สินค้าเซลล์แสงอาทิตย์ (Crystalline Silicon Photovoltaic Cells: CSPV) ที่ส่งออกจากมาเลเซีย ไทย เวียดนาม และกัมพูชา โดยกล่าวหาว่าสินค้า CSPV ที่ส่งออกจากไทย เป็นการนำชิ้นส่วนที่ผลิตจากจีนมาประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยกรมฯ ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ (DOC) เพื่อคัดค้านผลการไต่สวนชั้นต้น และได้จัดประชุมร่วมกับผู้ผลิต ผู้ส่งออกไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับผลการไต่สวน ซึ่งล่าสุดสหรัฐฯ จะเดินทางมาตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริง ณ สถานประกอบการที่ประเทศไทย ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 และจะประกาศผลการไต่สวนชั้นที่สุด ภายในวันที่ 26 เม.ย. 2566
2. สินค้า Aluminum Foil ที่ส่งออกจากไทยและเกาหลีใต้ 3. สินค้าลวดเย็บ ที่ส่งออกจากไทยและเวียดนาม โดยกล่าวหาว่าสินค้า Aluminum Foil และสินค้าลวดเย็บที่ส่งออกจากไทย เป็นการนำชิ้นส่วนที่ผลิตจากจีนมาประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปและส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยกรมฯ ได้จัดประชุมร่วมกับผู้ผลิต/ผู้ส่งออกไทยเพื่อหารือและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้าร่วมกระบวนการไต่สวนของทั้ง 2 สินค้า และกรมฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมกระบวนการผลิตสินค้าลวดเย็บ ณ สถานประกอบการ ซึ่งล่าสุดสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการไต่สวนฯ ทั้ง 2 สินค้า โดยคาดว่าจะประกาศผลชั้นต้น สินค้า Aluminum Foil ภายในวันที่ 28 ก.พ. 2566 และสินค้าลวดเย็บภายในเดือนพ.ย. 2566 และจะประกาศผลการไต่สวนชั้นที่สุด สินค้า Aluminum Foil ภายในวันที่ 18 ก.ค. 2566 และสินค้าลวดเย็บภายในเดือนต.ต. 2566