เปิดแผน “โออาร์” ลงทุน 3.1 หมื่นล้าน สร้างแวลูเชนธุรกิจ “ไลฟ์สไตล์”
“โออาร์” ทุ่มลงทุนปีนี้ 31,197 ล้านบาท ลุยธุรกิจไลฟ์สไตล์ ขยายพื้นที่ค้าปลีกในปั๊ม ตั้งเป้ายอดขายโตรับเศรษฐกิจขยายตัว ท่องเที่ยวฟื้น จ่อเปิดปั๊มต้นแบบพลังงานสะอาด “แฟล็กชิพสโตร์” เดือน พ.ค.พร้อมรุกตลาดต่างประเทศ เล็งกัมพูชามีโอกาสขยายฐาน
Key Points
- OR ประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2566 ที่บาร์เรลละ 80-87 ดอลลาร์
- เตรียมงบลงทุนในปี 2566 วงเงิน 31,197 ล้านบาท เน้นธุรกิจไลฟ์สไตล์
- ตั้งเป้าหมาย EV Station PluZ 500 เครื่องชาร์จ เพิ่มจากปีที่แล้วที่มี 300 เครื่องชาร์จ
- ยอดขายปลีกน้ำมันปี 2565 ขยายตัว 18% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR จะเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth” โดยเตรียมงบลงทุน 31,197 ล้านบาท ซึ่งให้น้ำหนักกับการสร้างความแข็งแกร่งของ Business Value Chain กลุ่มธุรกิจ Lifestyle
ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า OR ประเมินปริมาณการขายน้ำมันปี 2566 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจที่จะขยายตัว 3.7% จากปีก่อนที่ขยายตัว 2.6% รวมทั้งการท่องเที่ยวและเดินทางที่ฟื้นตัว โดยจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะการที่จีนเปิดประเทศทำให้ยอดขายน้ำมันเครื่องเจ็ทเติบโตดีและกลับมาใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด-19 ภายในครึ่งหลังปีนี้
สำหรับราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 80-87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากปี 2565 ที่ราคาปิด ณ สิ้นปีอยู่ที่ 96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดย OR คงเป้าหมายรักษาส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ 43.2%
ขณะที่แผนการดำเนินงานในปี 2566 ที่เตรียมงบลงทุนไว้ 31,197 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจได้ ดังนี้
1.กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ลงทุน 14,193 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% ของงบลงทุนทั้งหมด เพื่อขยายสาขาร้าน Café Amazon และร้าน Texas Chicken รวมถึงหาพันธมิตรและการลงทุนใหม่เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกรูปแบบ โดยนอกจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) แล้วยังให้ความสำคัญในกลุ่มธุรกิจ Health & Wellness และ Tourism
“โดยในปีนี้จะมุ่งโฟกัสไปที่ธุรกิจไลฟ์สไตล์มากขึ้น ตั้งเป้าให้ธุรกิจมีสัดส่วนกำไรเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 25-29% โดยจะมีการเพิ่มพื้นที่ค้าปลีกภายในปั๊ม PTT Station เดิมและปั๊มแห่งใหม่”
เดือน พ.ค.2566 จะเปิดปั๊มน้ำมันโฉมใหม่ที่จะเป็น "แฟล็กชิพสโตร์” สาขาวิภาวดี 62 เป็นปั๊มต้นแบบที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่ธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดทั้งอีโคซิสเต็ม เช่น การติดตั้งปั๊มชาร์จอีวี และโซลาร์รูฟท็อป รวมถึงมีระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน และนำเอไอมาคำนวณการปล่อยคาร์บอนของรถแต่ละคันที่ผ่านเข้า-ออกปั๊ม ซึ่งเป็นต้นแบบขยายไปสู่ปั๊มแฟล็กชิพสโตร์อื่นที่จะตั้งอยู่ตามหัวเมืองหลักทุกภูมิภาค โดยปั๊มแฟล็กชิพสโตร์แห่งที่ 2 จะเปิดบริการไตรมาส 3
2.กลุ่มธุรกิจ Mobility จะรักษาผู้นำ Mobility Ecosystem ทั้งแง่การขยายสาขา PTT Station 122 แห่งในประเทศ และ 82 แห่งในต่างประเทศ และ EV Station PluZ 500 เครื่องชาร์จ จากปีที่ผ่านมามี 300 เครื่องชาร์จ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย EV Station PluZ จำนวน 7,000 เครื่องชาร์จ ภายในปี 2573 และเป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐาน EV ในไทย ซึ่งภายในปีนี้จะผลักดันความร่วมมือธุรกิจ EV ของกลุ่ม ปตท.อย่างเป็นระบบ
รวมถึงลงทุน Green Energy เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงแหล่งพลังงาน ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ โดยจัดสรรงบประมาณ 6,799 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 22% ของงบลงทุน
3.กลุ่มธุรกิจ Global จะลงทุนขยาย PTT Station และ Café Amazon ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ และหาโอกาสการลงทุนในประเทศใหม่ที่มีศักยภาพ โดยจัดสรรงบประมาณ 4,954 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของงบลงทุน
“ปีนี้จะเน้นเจาะตลาดกัมพูชามากขึ้นเพราะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น 6.2% จากปีก่อนเติบโต 5.1% อีกทั้งกัมพูชาเป็นประเทศที่ไม่มีโรงกลั่นน้ำมัน จึงมีความต้องการนำเข้าน้ำมันและมีโอกาสขายสินค้าได้มาก ทั้งนี้การเจาะตลาดต่างประเทศต้องบริหารต้นทุนที่ดี รวมทั้งทำเลที่มีศักยภาพ โดยจะพาทั้งธุรกิจ Mobility และธุรกิจ Lifestyle รุกตลาดต่างประเทศ”
4.กลุ่มธุรกิจ OR Innovation มุ่งหาธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน โดยสร้างนวัตกรรมต้นแบบองค์กรสมัยใหม่ รวมทั้งลงทุนนวัตกรรมเพื่อพัฒนาโมเดลทางธุรกิจใหม่ให้สอดคล้องสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยจัดสรรงบ 5,251 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 17% ของงบลงทุนรวม
ทั้งนี้ OR ให้ความสำคัญกับ SDG ตามเป้าหมาย OR 2030 ประกอบด้วย 1.S-SMALL โอกาสเพื่อคนตัวเล็ก 2.D-DIVERSIFIED โอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ 3.G-GREEN โอกาสเพื่อสังคมสะอาด โดยได้รับคัดเลือกจาก S&P Global ให้อยู่ทำเนียบธุรกิจที่มีความยั่งยืน “The Sustainability Yearbook 2023” กลุ่มธุรกิจ Retailing และสอดคล้องเกณฑ์การประเมินของ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI)
สุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2565 ตลาดน้ำมันของไทยโต 15% ขณะที่ OR โต 18% หรือมีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้น 1.2% อยู่ที่ 43.2% ซึ่งในตลาดยานยนต์ปีนี้มีทิศทางเติบโต โดยเฉพาะเบนซินและดีเซล ขณะที่น้ำมัน Jet จะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว จึงคงเป้าหมายรักษามาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่ง 1 ของยอดขายน้ำมัน Jet อยู่ที่ 49%
รวมทั้งปีนี้จะได้รับประโยชน์จากยอดขายน้ำมันดีเซลพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้น หลักจากภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการภาษีและปรับเพิ่มค่าการตลาดสู่ระดับปกติ ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างราคาระหว่างดีเซล กับดีเซลพรีเมี่ยมแคบลง จากปัจจุบันมีส่วนต่างถึง 9 บาทต่อลิตร ส่วนยอดขายน้ำมันปีนี้ มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นอยู่ระดับ 8 แสนล้านบาท หากราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นจากสมมติฐานที่ตั้งไว้
ขณะที่ธุรกิจ Lifestyle เดิมเติบโต 2 หลัก มีสัดส่วนมาร์จิ้นอยู่ที่ 25.5% และปีนี้คาดว่าจะเติบโต 2 หลักเช่นกัน
ส่วนแผนขยายการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในปั๊มน้ำมัน PTT Station ปีนี้จะติดตั้งเพิ่ม 300 แห่ง จากที่มีอยู่ 100 แห่ง ร่วมเป็น400 แห่งในช่วงสิ้นปีนี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารูปแบบการลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เบื้องต้นคาดว่าจะเปิดกว้างหลายแนวทางเพื่อให้มีพันธมิตรที่หลากหลายเข้ามาร่วมลงทุนติดตั้ง โดยน่าจะเห็นการทยอยลงทุนติดตั้งชัดเจนขึ้นในไตรมาส 2-3 ปีนี้
ขณะที่ธุรกิจ Lifestyle ช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง OR กับบริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด พัฒนาโครงการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่ม (RTD)