พาณิชย์ ประเมิน ส่งออกไทยไปรัสเซียปี 66 ฟื้นตัวได้
สนค.วิเคราะห์ครบรอบ 1 ปี สงครามรัสเซีย-ยูเครน พบส่งออกไทยไป 2 ตลาดติดลบหนัก รัสเซียลบ 43.3% ยูเครน ลบ 71.4% แต่กระทบส่งออกภาพรวมไม่มาก เหตุมีสัดส่วนแค่ 0.5% ของการส่งออกรวม ชี้ ปี 66 ส่งออกไทยไปรัสเซียฟื้น จากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของรัสเซีย
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบ และโอกาสของการส่งออกไทย จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ดำเนินมาครบรอบ 1 ปี โดยการส่งออกของไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นนอนและได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากความขัดแย้งดังกล่าว ซึ่งผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกของไทยที่เห็นได้ชัดเจนคือ การหดตัวของการส่งออกไปยังรัสเซียและยูเครน อันเนื่องมาจากปัญหาด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ และระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ โดยการส่งออกไปยังรัสเซียปรับตัวลดลง 10 เดือนต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 65 ทำให้การส่งออกไปรัสเซียทั้งปี 2565 หดตัวจากปีก่อนถึง 43.3 % เช่นเดียวกับการส่งออกไปยูเครนที่หดตัวรุนแรง 12 เดือนต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือน ม.ค. 65 ทำให้ทั้งปี 2565 หดตัว 71.4 %
แม้ว่าการลดลงของการส่งออกไปยังรัสเซียและยูเครนจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทยในวงจำกัด เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไปยังรัสเซียและยูเครนมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยสัดส่วนรวมกันประมาณ 0.5% ในปี 2564 เพราะหลังเกิดการสู้รบการส่งออกรวมของไทยก็ยังคงขยายตัวได้ในระดับสูง
โดยครึ่งแรกของปี 2565 ขยายตัว 12.6 % แต่ผลกระทบทางอ้อมจากความขัดแย้งและมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียกลับส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยเป็นวงกว้าง ทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงาน ที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้า การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบและขาดแคลนวัตถุดิบ อาทิ เหล็ก แร่สำหรับผลิตเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ ธัญพืช ทั้งข้าวสาลี ข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน และปุ๋ย เป็นต้น
ขณะที่ราคาพลังงาน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และการชะงักงันของห่วงโซ่การผลิตอันเนื่องมาจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานนั้น ผลักดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นทั่วโลก นำมาซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนและธุรกิจ และทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงตามมา ซึ่งกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผลกระทบดังกล่าวเริ่มเห็นได้ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ที่การส่งออกของไทยชะลอตัวลงต่อเนื่องจนติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือนเมื่อเดือน ต.ค. 65 ที่ 4.4 % และหดตัวต่อเนื่องในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. 6.0% และ 14.6% ตามลำดับ ส่งผลให้ครึ่งปีหลังการส่งออกหดตัว 1.2% แต่ภาพรวมทั้งปี 2565 ยังขยายตัว 5.5%
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนหลังจากนี้นั้น มองว่าการสู้รบจะยังคงมีความยืดเยื้อและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในเร็ววันนี้ เนื่องจากรัสเซียประกาศว่าจะยังคงปฏิบัติการทางทหารต่อไป พร้อมทั้งส่งสัญญาณยกระดับปฏิบัติการทางทหาร และวางแผนเพิ่มกำลังพล ตลอดจนการระงับสนธิสัญญาควบคุมการใช้อาวุธนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ซึ่งกำลังสร้างความกังวลว่าอาจบานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์
ขณะที่ชาติตะวันตกหรือ NATO ก็พร้อมที่จะตอบโต้รัสเซีย ทั้งด้านการทหารด้วยการส่งอาวุธล้ำสมัยให้ยูเครนมากขึ้นควบคู่ไปกับมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย และยังยืนยันความพร้อมที่จะสนับสนุนยูเครนไปจนกว่าความขัดแย้งจะได้ข้อยุติ ด้วยปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ ผู้ประกอบการไทยควรประกันความเสี่ยง ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสวงหาการค้าใหม่ๆ ที่มีโอกาสเติบโต
สำหรับการส่งออกไทยไปยังรัสเซียในปี 2566 มีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้มากขึ้น ด้วยสัญญาณที่ดีจากเศรษฐกิจรัสเซียในปี 2565 ที่หดตัวเพียง 2.1% ซึ่งดีกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ในช่วงแรกของความขัดแย้งว่าจะหดตัวมากกว่า 10% ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจรัสเซียยังแข็งแกร่งและสามารถรับมือกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรได้มากกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ในปี 2566 IMF คาดว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะกลับมาเติบโตที่ได้ 0.3% ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรใช้โอกาสขยายตลาดจากการที่รัสเซียพยายามหาพันธมิตรทางการค้าใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนสินค้าจากมาตรการคว่ำบาตร และทดแทนสินค้าของชาติตะวันตกที่ออกไปจากตลาด ประกอบกับการที่รัสเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง ดังนั้น มองว่าสินค้าไทยยังมีโอกาสอีกมากในตลาดรัสเซีย