จี้เปิดผลตู้ค้างท่าเรือแหลมฉบัง หลังหมูเถื่อนทะลักไทยเดือนละ 2.5หมื่นตัน
เกษตรกร ทวงถามกรมศุลฯ ผลสอบตู้ตกค้างในโครงการท่าเรือสีขาว หลังเปิดได้แค่ 5จาก 331 ตู้ พร้อมขอฟังมาตรการป้อง “หมูเถื่อน” มากกว่า 25,000 ตันต่อเดือน เบียดตลาด หมูไทย ขาดทุนยับเยิน
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่าได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลการรับสินค้าจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อขอทราบผลการตรวจสอบตู้ตกค้างในโครงการท่าเรือสีขาวหลังเปิดไปเพียง 5 ตู้จาก 331 ตู้ ณ วันแถลงข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ หวั่นยังมีหมูเถื่อนคงค้างรอการระบายอีกหลายตู้ พร้อมขอเข้าฟังขั้นตอนและพิธีการศุลกากรอันรัดกุม เพื่อความมั่นใจในมาตรการป้องกันหมูเถื่อน เนื่องจากผู้เลี้ยงหมูไทยได้รับผลกระทบหนักจากปริมาณหมูส่วนเกินที่นำเข้าจากต่างประเทศเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 25,000 เมตริกตัน/เดือน
“หมูเถื่อนจากต่างประเทศไม่ว่าจะจากยุโรปหรืออเมริกาใต้จะผ่านเข้ามาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับด่านกรมศุลกากร ซึ่งเกษตรกรทุกคนเชื่อมั่นว่าพิธีการทางศุลกากรของไทย มีมาตรการที่เข้มงวดรัดกุม ยากที่สิ่งของผิดกฎหมายจะผ่านด่านเข้ามาได้ แต่น่าแปลกที่ปริมาณหมูเถื่อนกระจายอยู่ในท้องตลาดทั่วประเทศมากเหลือเกิน คณะกรรมการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและผู้เลี้ยงสุกรจากทุกภูมิภาค
จึงทำหนังสือขอเข้าพบท่านอธิบดีกรมศุลกากร เพื่อขอรับฟังนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่กรมฯ ดำเนินการในการป้องกันไม่ให้สินค้าผิดกฎหมายเข้ามาสู่ราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ เพื่อความมั่นใจในการประกอบอาชีพเลี้ยงสุกรต่อไป”
นอกจากนี้ นายสุรชัย ยังแสดงความกังวล กับจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างในโครงการท่าเรือสีขาวของกรมศุลกากร ที่มีการแถลงข่าวไปเมื่อช่วงกุมภาพันธ์ 2566 ว่ามีตู้ตกค้างมากถึง 331 ตู้ และมีการสุ่มเปิดตู้ต่อหน้าสื่อมวลชนเพียง 5 ตู้ พบเป็นหมูเถื่อนถึง 3 ตู้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่พบข่าวตรวจสอบตู้ตกค้างอีก จึงขอเรียนถาม ผลการตรวจสอบตู้ทั้งหมดจากกรมศุลฯอีกครั้ง เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นหมูเถื่อนลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักทำลายตลาดให้เกษตรกรไทยเดือดร้อนเรื่อยมา
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา ปรากฏชิ้นส่วนเนื้อสุกรลักลอบนำเข้าจากหลายประเทศเข้าสู่ประเทศไทย โดยสันนิษฐานว่าไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์ ตามอำนาจของพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ2558 และกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรฯได้ติดตามการจับกุมปราบปรามหมูเถื่อนของภาครัฐ พบว่ามีปริมาณเพียงเล็กน้อยไม่ถึง 5% ของการลักลอบทั้งหมดในแต่ละเดือน ซึ่งคำนวณได้จากปริมาณหมูเถื่อนในท้องตลาดที่มีอยู่ถึง 25,000 เมตริกตัน/เดือน ส่งผลกดดันราคาหมูหน้าฟาร์มในประเทศให้ตกต่ำ นำไปสู่ภาวะขาดทุนของเกษตรกรไทย
นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติกล่าวอีกว่า “ต้นทุนการผลิตหมูของไทย สูงกว่าในต่างประเทศถึง 30% เนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ของบ้านเรามีราคาสูงกว่ามาก จึงไม่สามารถแข่งขันด้านราคาขายกับหมูเถื่อนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร ปนเปื้อนสารตกค้าง ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และอาจมีเชื้อโรคระบาดสัตว์ ASF เข้ามาซ้ำเติมหมูไทย เมื่อหมูเถื่อนมีจำนวนมาก เกษตรกรก็มักถูกกดราคาหน้าฟาร์มจากผู้ซื้อ กลายเป็นวังวนปัญหาไม่รู้จบ จึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากกรมศุลากร ในการป้องกันที่ต้นทางตั้งแต่ก่อนหมูเถื่อนจะเข้าประเทศ”