ตลาดน้ำมันแข่งเดือด 'บางจาก' เทคโอเวอร์ 'เอสโซ่'
ผู้ถือหุ้น “บางจาก” 99.9% อนุมัติซื้อ “เอสโซ่” 5.5 หมื่นล้าน “ชัยวัฒน์” มั่นใจคืนทุนไม่เกิน 3-4 ปี พร้อมรีแบรนด์ปั๊มรวม 2.1 สถานี ได้ตั้งแต่ไตรมาส2 ภายหลังการซื้อขายสำเร็จ มองผู้ใช้บริการในไทยเบอร์ 1-3 มีปั๊มน้ำมันสัดส่วนเท่ากัน โรงกลั่นเอสโซ่ยังเพิ่มกำลังผลิตได้อีก
Key Points
- ที่ประชุมผู้ถือหุ้นบางจาก 99.9% อนุมัติให้ซื้อหุ้น บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) จาก ExxonMobi
- การซื้อหุ้นครั้งนี้จะทำให้บางจากได้ปั๊มน้ำมัน 802 แห่ง และโรงกลั่นน้ำมันศรีราชาของเอสโซ่
- บางจากประเมินว่าการแข่งขันของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของปั๊มอันดับ 1-3 จะแข่งขันกันมากขึ้น
- การซื้อหุ้นครั้งนี้ใช้วงเงิน 55,000 ล้านบาท และบางจากคาดว่าจะคืยทุนได้ภายใน 3-4 ปี
ดีลใหญ่ในธุรกิจปิโตรเลียมได้ข้อสรุปหลังจากที่ประชุมผู้ถือบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 11 เม.ย.2566 เห็นชอบให้บางจากซื้อหุ้นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (เอ็กซอนโมบิล) ซึ่งทำให้บางจากได้ธุรกิจโรงกลั่นและค้าปลีกน้ำมัน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่ม บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ว่า ที่ประชุมได้อนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญและการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดใน บริษัท เอสโช่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทฯ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจโรงกลั่นและสถานีบริการน้ำมันชั้นนำของประเทศไทย
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ 99.9% มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญและการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดใน เอสโซ่ ประกอบด้วย
1. การเข้าซื้อหุ้นสามัญโดยตรงจำนวน 2,283,750,000 หุ้น ในเอสโซ่ ประมาณ 65.99% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ ณ วันที่ 30 ก.ย.2565 จากผู้ขาย ExxonMobil Asia Holdings Pte.Ltd. โดยบริษัทฯ ได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับผู้ขายเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2566
2. การทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดในเอสโซ่ เป็นจำนวนไม่เกิน 1,177,108,000 หุ้น (ประมาณ 34.01%) ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ ณ วันที่ 30 ก.ย.2565 ภายหลังจากที่ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (ประกาศการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ) เพื่อได้มาซึ่งหุ้นที่เหลือทั้งหมดในเอสโช่ในราคาเดียวกันกับราคาซื้อหุ้นเอสโซในธุรกรรมการซื้อขายหุ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าเงื่อนไขบังคับก่อนภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นจะเสร็จสมบูรณ์และสามารถทำการซื้อขายหุ้นที่ซื้อขายได้ภายในระยะเวลา 12 เดือนหลังจากวันที่ของสัญญาซื้อขายหุ้น โดยเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนสำเร็จเสร็จสิ้น
ปั๊มน้ำมันเบอร์1-3แข่งเดือด
สำหรับการซื้อเอสโซ่ครั้งนี้ ถือเป็นกลยุทธ์ระยะยาวทำให้บริษัทฯ ไม่ต้องขยายโรงกลั่นแห่งที่ 2 จากเดิมโรงกลั่นบางจากมี 1 แห่งที่สุขุมวิท กำลังการผลิต 174,000 ล้านบาร์เรล และโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ขนาด 174,000 ล้านบาทบาร์เรล รวมเป็น 294,000 ล้านบาร์เรล
ส่วนสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ 802 สาขา รวมกับบางจากอีก 1,343 สาขา รวมเป็น 2,145 สาขา ถือเป็นผู้นำสถานีบริการน้ำมันที่ขณะนี้จะเบอร์ 1 เบอร์ 2 หรือเบอร์ 3 ก็มีจำนวนระดับนี้ ส่วนระบบท่อ บริษัทฯ ได้สิทธิ์เข้าไปใช้ด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้โรงกลั่นบางจากกลั่นที่ระดับ 1.2 แสนล้านบาร์เรล ถือว่ายังไม่พอเข้าเป้าที่ 1.43 ล้านบาร์เรล ซึ่งโรงกลั่นเอสโซ่จะช่วยให้ดีขึ้น ส่วนการเปลี่ยนโลโก้สถานีบริการถ้าผ่านจะดำเนินซื้อขายที่คาดว่าจะสามาถจ่ายเงินได้ช่วงปลายปีนี้ ก็จะทยอยเปลี่ยเป็นโลโก้บางจากทันที คาดว่าช่วง 3-6 เดือนจะทำให้เห็นภาพ ส่วนคุณภาพของน้ำมันจะเป็นพรีเมียมแก๊สโซฮอล์97 ถือว่าดีที่สุดในตลาด เพื่อตอบโจทย์พรีเมียมแก๊สโซฮอล์”
รายงานข่าวระบุว่า ที่ปรึกษาทางการเงินของบางจากได้สรุปตลาดค้าปลีกน้ำมันหลังบางจากซื้อเอสโซ่ โดยตลาดน้ำมันมีปั๊มรวม 27,993 แห่ง แบ่งเป็นปั๊มที่ไม่มีแบรนด์มีสัดส่วน 70.9% รองลงมาเป็น OR 8.5% , PT 8.0% , บางจาก และ ESSO 7.7% (บางจาก 4.8% , ESSO 2.9%) , Shell 2.5% และ Caltex 1.6%
หารือควบรวมกับ กขค.
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับราคาหุ้นสุดท้ายที่เข้าซื้อนั้น จะต้องรองบการเงินปิด ตามแผนไตรมาส 2 ปี 2566 โดยขั้นตอน 2 ใน 3 ที่บังคับจบแล้ว เหลือขั้นตอนสุดท้าย คือ คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ซึ่งคาดว่าช่วงเดือน ก.ค.2566 เชื่อว่าจะอยู่ในราคาที่คำนวนไว้ที่ 8-9 บาท ซึ่งจะต้องหารือกับสถาบันทางการเงินช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.2566 จึงคาดว่าจะสิ้นปีนี่้น่าจะจบหมด
ส่วนประเด็นความเสี่ยงธุรกิจน้ำมันในอนาคตถึงยอดใช้น้ำมันลดลงนั้น หากดูข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงานพบว่า 3-4 ปีนี้ การบริโภคน้ำมันโตตลอด จึงมองว่ากว่าจะกระทบจริง ๆ ราว 12-15 ปี การที่บริษัทฯ ซื้อเอสโซ่ครั้งนี้ 5.5 หมื่นล้านบาท มั่นใจว่าจะสามารถทำ EBITDA ได้ปีละกว่า 1 หมื่นล้านบาท ไม่เกิน 3-4 ปีก็คืนทุนแล้ว
“การซื้อเอสโซ่ครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดศักราชบทใหม่ของบางจาก ต่อไปนี้จะเป็นก้าวที่แข็งแรง การแข่งขันสัดส่วนรายได้ของปั๊มไม่เยอะเพราะผู้เล่นมาก"
ส่วนโรงกลั่นก็แข่งขันเช่นกัน เราไม่ได้แข่งในประเทศอย่างเดียว มีสิงคโปร์ และจีน ถ้าขายแพงคนก็นำเข้ามาขาย หรือถ้าถูกคุมมากก็จะเอาไปขายต่างประเทศ เสมือนสายการบิน ส่วนทิศทางราคาพลังงานทั้งปี มองว่าจะยังคงผันผวนถือเป็นเป็นธรรมชาติของธุรกิจพลังงาน
ยืนยันการเงินแข็งแกร่ง
นายชัยวัฒน์ กล่าวถึงความแข็งแกร่งทางการเงินว่า บริษัทฯ มี EBITDA ถึง 40,000 ล้านบาท การขออนุมัติงบลงทุนไม่มีปัญหาอะไร โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ไม่เคยมีกำไรหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งไตรมาส 2-3 บางจากจะมีกำไรเป็นหมื่นล้าน ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีมาก่อน นโยบายหลักของทุกที่ที่ตนบริหาร ทั้งบอร์ดและพนักงานต้องเข้าถือหุ้น เพื่อให้มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้ถือหุ้นทุกคน
ส่วนแผนปรับปรุงโรงกลั่นเดิม ก็จะยังดำเนินการต่อเพื่อตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันในประเทศ เมื่อมีกำลังผลิตไฮโดรเจนเหลือก็เพิ่มหน่วยน้ำมันอากาศยานยั่งยืน โอกาสเพิ่มกำลังการกลั่น รอปลายปีซื้อสำเร็จก็จะมาดูอีกครั้งว่าจะเพิ่มได้ต่อปีเท่าไหร่ ตอนนี้ยังต่ำกว่าความสามารถของกำลังการผลิตที่จะกลั่นได้