ระทึก! ดีเซลจ่อขึ้น 5 บาทต่อลิตร ‘พลังงาน’ โอด ‘คลัง’ ไม่ต่อเวลาลดภาษี
"กระทรวงพลังงาน" ระบุ "กระทรวงการคลัง" ไม่ต่อภาษีน้ำมัน "ดีเซล" 5 บาทต่อลิตร อ้างรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซล 21 ก.ค. 2566 ขยับเป็น 37 บาทต่อลิตรทันที "นักวิชาการ" แนะ ควรทะยอยปรับขึ้นครั้งละ 1 บาท
Key points
- "พลังงาน" เผย "คลัง" ไม่ต่อภาษีน้ำมัน "ดีเซล" 5 บาทต่อลิตร อ้างรอรัฐบาลใหม่ตัดสินใจ
- กองทุนน้ำมันฯ รับเงินกู้เข้าบัญชีแล้ว 50,000 ล้าน เร่งใช้หนี้คู่ค้ามาตรา 7
- หวั่น "คลัง" ไม่ต่อภาษี ป่วนน้ำมันดีเซลทะลุ 37 บาทต่อลิตร
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้รับรายงานจากกระทรวงการคลังว่ามาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท ที่จะครบกำหนดวันที่ 20 ก.ค.2566 นั้น กระทรวงการคลังได้ประกาศออกมาแล้วว่าจะไม่ต่อมาตรการดังกล่าวแล้ว โดยให้เหตุผลว่าต้องรอรัฐบาลชุดใหม่มาตัดสินใจ เนื่องจากมีผลกระทบในเรื่องของงบประมาณการเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตที่ต้องหายไปด้วย
ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ดำเนินการกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ รวม 2 ก้อนแล้ว 50,000 ล้านบาท จากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้บรรจุวงเงินหนี้สาธารณะไปแล้วรวม 110,000 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แบ่งเป็นกู้รอบแรก 30,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปลายปี 2565 ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ ได้นำไปชำระหนี้ผู้ค้ามาตรา 7 หมดแล้ว และรอบที่ 2 อีก 20,000 ล้านบาท จากวงเงิน 80,000 ล้านบาท ซึ่งจะเหลือวงเงินกู้อีก 60,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเปิดกู้รอบใหม่
อย่างไรก็ตาม ในการของกู้เงินของวกนช. ครั้งนี้นั้น ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ให้กับสกนช. ในกรอบวงเงินรวม 1.5 แสนล้านบาท และต้องดำเนินการกู้เงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 ต.ค. 2566 นี้เท่านั้น ซึ่งจากสถานการณ์ราคาพลังงานโลกที่ลดลงในช่วงนี้ สบน. จึงเห็นว่าการกู้เงินที่ 1.1 แสนล้านบาทน่าจะเพียงพอแล้ว อีกทั้งควรรอให้รัฐบาลชุดใหม่มาร่วมตัดสินใจ และเมื่อกระทรวงการคลังไม่ต่อภาษีดีเซลอาจส่งผลกระทบต่อสถานทางการเงินและรับภาระเพิ่ม 5 บาททันที
สำหรับสถานะกองทุนน้ำมันฯ วันที่ 21 พ.ค. 2566 ติดลบอยู่ที่ 72,731 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 26,111 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 46,620 ซึ่งมากกว่าบัญชีน้ำมันแล้ว เนื่องจากปัจจุบันกองทุนน้ำมันยังใช้เงินพยุงราคาก๊าซหุงต้ม LPG เฉลี่ย เดือนละประมาณ 600 ล้านบาท ตกวันละ 25 ล้านบาท ซึ่งการกู้เงินก้อนที่เหลือจะนำมาชำระหนี้ผู้ค้ามาตรา 7 อีกราว 70,000 ล้านบาท
แหล่งข่าว กล่าวว่า นอกจากนี้ สิ่งที่กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังต้องตัดสินใจร่วมกันอย่างหนัก คือ การคาดการณ์นโยบายล่วงหน้าของรัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้งว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ อย่างไร และใครจะมาบริหารราคาพลังงาน เพราะอีกไม่นานนายกุกิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานจะเกษียณอายุราชการในปี 2566 นี้ การสานต่อนโยบายรัฐบาลก็จะต้องดูว่าใครจะมาบริหารงานในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ และจะใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารจัดการราคาน้ำมันอีกหรือไม่ อย่างไร
นายกุลิศ กล่าวว่า การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 5 บาทต่อลิตร จะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค.2566 ดังนั้นต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร หากขึ้นในอัตรานี้ ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นเป็น 37 บาทต่อลิตรทันที จากราคาปัจจุบัน 32 บาทต่อลิตร และต้องมาพิจารณาว่ากองทุนน้ำมันฯ จะเข้ามาช่วยอย่างไรได้บ้าง ค่าการตลาดควรเป็นเท่าไร
นายพรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องนำเอาบัญชีทางการเงินของทั่งกองทุนน้ำมันฯ และบัญชีการลดภาษีดีเซลมาชั่งน้ำหนักดูให้ดี เพราะหากต่อมาตรการลดภาษีไปอีก ก็จะกระทบต่อรายได้ประเทศ ส่วนตัวมองว่าหากรัฐบาลไม่ต่อมาตรการลดภาษีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลควรจะทะยอยปรับขึ้นครั้งละ 1 บาท ไม่ควรปรับขึ้นทันที 5 บาท
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า มาตรการการลดภาษีดีเซลที่ผ่านมารวม 7 ครั้ง กระทบรายได้รัฐ 158,000 ล้านบาท ดังนี้
1. วันที่ 18 ก.พ.-20 พ.ค.2565 (3 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 3 บาท รัฐสูญรายได้ 18,000 ล้านบาท
2. วันที่ 21 พ.ค.-20 ก.ค.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
3. วันที่ 21 ก.ค.-20 ก.ย.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
4.วันที่ 21 ก.ย.-20 พ.ย.2565 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
5.วันที่ 21 พ.ย.2565-20 ม.ค.2566 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาทรัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท
6.วันที่ 21 ม.ค.-20 พ.ค.2566 (4 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 40,000 ล้านบาท
7. วันที่ 21 พ.ค. - 20 ก.ค.2566 (2 เดือน) ลดภาษีลิตรละ 5 บาท รัฐสูญรายได้ 20,000 ล้านบาท