กมธ.พลังงาน สว. เสริมภูมิพลังงานสีเขียว ลุยใช้ไฮโดรเจนลดปล่อยคาร์บอน
"กมธ.พลังงาน สว." เตรียมพร้อมความมั่นคงด้านพลังงานไทย จ่อเสนอรัฐบาล หนุนการใช้ไฮโดรเจนให้แพร่หลาย หวังลดต้นทุนภาคการผลิต นำประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2065
พลเอก สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน วุฒิสภา กล่าวเปิดงานสัมมนา เรื่อง "ไฮโดรเจน : พลังงานทางเลือกแห่งอนาคต ตอบโจทย์สภาวะโลกร้อน ?" ว่า เนื่องด้วยประเทศไทยมีความต้องการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงหลากหลายชนิดเพื่อการผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม และการขนส่งมากขึ้น การเตรียมความพร้อมเรื่องพลังงานทางเลือก เพื่อทดแทนพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป จาก fossil fuel น้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน จึงมีการพัฒนานำพลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ที่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานหมุนเวียน ใช้แล้วนำกลับมาใช้ได้อีก และรวมถึงเชื้อเพลิงชีวภาพ ไบโอดีเซล จากปาล์มน้ำมัน และเอทานอล จากมันสำปะหลัง พืชเกษตร
นอกจากนี้ ด้วยบริบทของสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การใช้พลังงานที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องตระหนักถึงสภาพแวดล้อมที่ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นทุกวัน ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมแก้ไขสภาวะแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต จึงมีข้อตกลงระหว่างประเทศร่วมกันเพื่อการส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกต้องเตรียมการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานหรือที่เรียกว่า Energy Transition ที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทั่วโลกได้ให้ความสนใจในเรื่องพลังงานไฮโดรเจนอย่างมาก ซึ่งพลังงานไฮโดรเจนถือว่าเป็นพลังงานสะอาด เนื่องจากในการใช้งานพลังงานไฮโดรเจนนั้นมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาน้อยมากจนถึงไม่มีมลภาวะเลย ซึ่งหลายประเทศมีการทำแผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานไฮโดรเจน หรือ Nation Hydrogen Strategy เพื่อเตรียมความพร้อม และบางประเทศยังได้รวมแผนดังกล่าวไว้ในแผนพลังงานชาติ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับการใช้พลังงานจากไฮโดรเจนในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันนอกจากที่จะใช้งานในโรงกลั่นและเป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแล้ว ไฮโดรเจนยังสามารถเข้ามาทดแทน fossil fuel ในภาคความร้อน ภาคการผลิตไฟฟ้าและภาคขนส่งได้ด้วย และในขณะที่ไฮโดรเจนกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก แนวทางที่ถูกนำเสนอขึ้นมาและพร้อมจะเกิดขึ้นได้จริงในอนาคตอันใกล้ ซึ่งกระบวนการผลิตไฮโดรเจน พร้อมทั้งแนวโน้มของกระบวนการต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนความร่วมมือของทางภาครัฐ และเอกชน นำไปสู่กระบวนการผลิตต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำถึงผู้ใช้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ราคาที่เหมาะสม โดยการควบคุมกำกับและพัฒนาให้ต้นทุนการผลิตต่าง ๆ ไม่ให้สูงและถูกลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการกำหนดไว้ในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) เพื่อให้เกิดการพัฒนา สงเสริม สนับสนุน ให้มีกฎ ระเบียบ ในการกำกับดูแลครอบคลุมทุกด้าน
ทั้งนี้ การจัดสัมมนาของคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภาในครั้งนี้ ได้เชิญวิทยากรทั้งภาครัฐ และเอกชน นักวิจัยที่เชี่ยวชาญในสายงานด้านการพัฒนาพลังงานไฮโดรเจนและพลังงานสะอาดมาบรรยายให้ข้อมูลและมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังจากสมาชิกวุฒิสภา คณะกรรมาธิการต่างๆของวุฒิสภา หน่วยงานของรัฐสถาบันการศึกษา ผู้พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่เกี่ยวข้องและเอกชน กว่า 300 คนเข้ามารับฟังและร่วมระดมความคิดเห็น พร้อมข้อเสนอแนะ ด้วยความคาดหวังถึงประโยชน์ในการประยุกต์ใช้เพื่อร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมให้เกิดความยั่งยืนในการนำเชื้อเพลิงไฮโดรเจน มาเป็นพลังงานทางเลือกเพื่อการพาณิชย์สำหรับภาคขนส่ง ภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร
โดยในเวทีสัมมนาในครั้ง จะนำข้อสรุปเสนอไปยังรัฐบาลพิจารณา เพื่อกำหนดให้ไฮโดรเจนเป็นรูปแบบหนึ่งของพลังงานที่จะมีการนำมาใช้โดยเร่งด่วน รวมถึงการจัดทำแผนและจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนส่งเสริมการใช้ประโยชน์พลังงานไฮโดรเจน โดยอาจแบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก เป็นการส่งเสริมเพื่อให้เกิดการศึกษาและวิจัย พัฒนา ระยะที่สอง เป็นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในเชิงพาณิชย์
ซึ่งดำเนินการผ่านรูปแบบโครงการนำร่องในภาคขนส่ง ที่จะเริ่มได้ก่อนเช่น รถบรรทุกขนส่ง หรือรถไฟ โดยจำกัดเส้นทางเพื่อมีสถานีเติมไฮโดรเจนรองรับ เป็นต้น ตลอดจนพิจารณามาตรการสนับสนุนการลงทุนทั้งในรูปแบบการเงินและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน การลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน การใช้ทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ เช่นไฮโดรเจนสีเขียว
(Green Hydrogen) พิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง แก้ไขกฎหมายที่ไม่จำเป็น และบัญญัติกฎหมายใหม่เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่จำเป็นและเกี่ยวข้องต่อไป
"เราเหลือเวลาอีกประมาณ 1 ปี จึงขอเป็นตัวกลางประมวลความคิดให้กับภาคนโยบาย เพราะประเทศไทยนำเข้าพลังงานเป็นหลัก และถูกกดค่าราคาสูงมาก ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเรามั่นใจว่าต่อไปข้างหน้าไฮโดรเจนที่เป็นพลังงานสะอาด จะมาปรับใช้ในประเทศไทยมากขึ้น ดังนั้น ภายหลังการจัดงานจะนำข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาเสนอภาครัฐเพื่อผลักดันเป็นนโยบายต่อไป"