กรมวิชาการเกษตร หนุนเกษตรกรปลูกกะหล่ำปลีลดใช้สารเคมี

กรมวิชาการเกษตร หนุนเกษตรกรปลูกกะหล่ำปลีลดใช้สารเคมี

กะหล่ำปลี ผักที่คนไทยบริโภคมากที่สุด แต่ถูกตรวจพบการปนเปื้อนสารเคมีบ่อยครั้งที่สุด จากการใช้ สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีปริมาณมาก เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภครวมทั้งเกษตรกรเอง กรมวิชาการเกษตรจึงส่งเสริมเทคโนโลยีลดการใช้สารเคมี

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า พืชตระกูลกะหล่ำเป็นพืชผักที่สำคัญทางเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งมีพื้นที่ปลูกจำนวน 34 จังหวัดทั่วประเทศ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 69,108 ไร่ให้ผลผลิตรวม 248,440 ตันโดยมีพื้นที่ปลูกมากในอำเภอหล่มเก่า และอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นเหมาะสมกับการเจริญเติบโต มีพื้นที่ปลูก19,256ไร่ ให้ผลผลิตประมาณ1.5แสนตันอย่างไรก็ตามการปลูกพืชตระกูลกะหล่ำมีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีปริมาณมากส่งผลให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและหากมีสารตกค้างจะเป็นอันตรายผู้บริโภค อีกทั้งยังเกิดการปนเปื้อนสู่สภาพแวดล้อมอีกด้วย

ศูนย์วิจัยเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ กรมวิชาการเกษตร จึงได้ดำเนินงานวิจัยการลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชในการผลิตกะหล่ำปลีโดยใช้วิธีผสมผสานในโรงเรือนและสภาพแปลง เพื่อศึกษาวิธีการลดการใช้สารเคมีในพืชดังกล่าว โดยการใช้สารไคโตซานเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ส่งผลให้พืชแข็งแรงต่อการเข้าทำลายของโรคและแมลงได้มากขึ้น รวมถึงการใช้ชีวภัณฑ์ของกรมวิชาการเกษตร ได้แก่ไส้เดือนฝอยกำจัดแมลงสายพันธุ์ไทย ซึ่งมีศักยภาพในการควบคุมแมลงได้หลายชนิด เชื้อแบคทีเรียBacillus thuringiensis (Bt) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์สามารถนำมาใช้กำจัดแมลงศัตรูพืช เนื่องจากมีความเฉพาะเจาะจงสูงในการทำลายเฉพาะแมลงเป้าหมายเท่านั้น

กรมวิชาการเกษตร หนุนเกษตรกรปลูกกะหล่ำปลีลดใช้สารเคมี กรมวิชาการเกษตร หนุนเกษตรกรปลูกกะหล่ำปลีลดใช้สารเคมี กรมวิชาการเกษตร หนุนเกษตรกรปลูกกะหล่ำปลีลดใช้สารเคมี

 

การดำเนินการลดการใช้สารเคมีในการปลูกกะหล่ำปลีตามเทคโนโลยีกรมวิชาการเกษตรทั้งในโรงเรือนและสภาพแปลงปลูกของเกษตรกร คือใช้สารไคโตซานอัตรา 200ppm/น้ำ 20 ลิตรเชื้อชีวภัณฑ์BT 80-100อัตรา 80-100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร และใช้กับดักกาวดักแมลง ขนาด 15X 20ซม. จำนวน 200 ป้าย/ 1 ไร่ ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการลดการใช้สารเคมีในการผลิตกะหล่ำปลีในโรงเรือนและสภาพแปลง เมื่อนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาการทดสอบในแปลงเกษตรกรจำนวน 10 แปลง เพื่อเปรียบเทียบวิธีที่เกษตรกรใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชกับเทคโนโลยีลดการใช้สารเคมีในการควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชที่เหมาะสมของกรมวิชาการเกษตร พบว่า

 

เทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรทำให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตที่ลดลงและลดการใช้สารเคมีกำจัดโรคและแมลง โดยเปรียบเทียบการผลิตกระกล่ำปลีในพื้นที่ 0.5 ไร่พบว่าการใช้เทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรมีต้นทุน 6,900 บาท รายได้ 23,400 บาท ในขณะที่กรรมวิธีของเกษตรกรมีต้นทุน 8,900 บาท รายได้ 21,250 บาท”

.

ศูนย์วิจัยเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ ได้จัดทำโครงการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ได้จากการวิจัยมาจัดอบรมเกษตรกร หลักสูตร “การจัดการโรคและแมลงศัตรูพืชตระกูลกะหล่ำเพื่อลดการใช้สารเคมีในพื้นที่สูง” เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรให้กับเกษตรผู้ปลูกพืชตระกูลกะหล่ำในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มรายได้และลดต้นทุนการผลิตสร้างชุมชนต้นแบบในการผลิตพืชตระกูลกะหล่ำของเกษตรกรของจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยดำเนินการในกลุ่มเป้าหมาย คือเกษตรกร อ.เขาค้อ และ ต.วังบาล (ทับเบิก) อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ จำนวน 100 ราย และสร้างแปลงต้นแบบจำนวน 5 แปลง

 

“ก่อนที่ศูนย์วิจัยเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์จะนำเทคโนโลยีการจัดการโรคและแมลงศัตรูพืชตระกูลกะหล่ำเพื่อลดการใช้สารเคมีในพื้นที่สูงมาถ่ายทอดในพื้นที่ เกษตรกรเชื่อว่าการปลูกกะหล่ำปลีต้องใช้สารเคมีเท่านั้นจึงจะสามารถป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูในกะหล่ำปลีได้แต่หลังจากถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวแล้วพบว่าในแปลงต้นแบบสามารถปลูกกะหล่ำปลีที่มีคุณภาพได้เทียบเท่าการปลูกกะหล่ำปลีโดยใช้สารเคมี แต่สามารถลดต้นทุน และทำให้ผลผลิตมีความปลอดภัยจากการใช้สารเคมี ทำให้เกษตรกรขอให้เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์เป็นวิทยากรให้คำแนะนำการใช้เทคโนโลยีการจัดการโรคและแมลงศัตรูพืชตระกูลกะหล่ำโดยใช้สารชีวภัณฑ์ของกรมวิชาการเกษตรควบคู่กับการใช้กับดักกาวเหนียว ซึ่งสามารถป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืชได้เช่นเดียวกับการใช้สารเคมี”