พาณิชย์ เผย ส่งออกไทยเดือน ก.ค.ติดลบ 6.2 %

พาณิชย์ เผย ส่งออกไทยเดือน ก.ค.ติดลบ 6.2 %

พาณิชย์ เผย การส่งออกไทยเดือนก.ค.ติดลบ6.2 % มูลค่า 22,143.2 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้า ภาพรวม 7 เดือนส่งออกไทยติดลบติดลบ 5.5 % มูลค่า 163,313.5 ล้านดอลลาร์ "ปลัดพาณิชย์"ชี้ ภาพรวมส่งออกไทยยังดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ลุ้นโค้งสุดท้ายไตรมาส 4 เป็นบวก ยังคงเป้าทั้งปีโต 1-2%

นายกีรติ  รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกไทยเดือนก.ค.66 มีมูลค่า 22,143.2 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 6.2 % หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ติดลบ 2.0 %  ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 24,121.0 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 11.1 %  ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 1,977.8 ล้านดอลลาร์ ภาพรวม 7 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออก มีมูลค่า 163,313.5 ล้านดอลลาร์ ติดลบ 5.5 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 171,598.9 ล้านติดลบ 4.7%  ดุลการค้า 7 เดือนแรกของปี 2566 ขาดดุล 8,285.3 ล้านดอลลาร์

ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกไทยเดือนก.ค.ติดลบ6.2 %  มาจากผลของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของโลกลดต่ำลงมากจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในยูเครน ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องชะลอลงอย่างมาก ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในหลายภูมิภาค และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้การบริโภคชะลอตัว อีกทั้ง จีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกฟื้นตัวช้าลงจากกำลังซื้อในประเทศที่หดตัวจากการขาดความเชื่อมั่นทางธุรกิจ

นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านอาหารของโลก ส่งผลให้การส่งออกสินค้าอาหารเติบโตได้ดี โดยเฉพาะข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง และสุกรสด แช่เย็น แช่แข็ง  อย่างไรก็ตามสินค้าอุตสาหกรรมของไทยมีสัญญาณที่ดีจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ยางรถยนต์ และเครื่องจักรกล เป็นต้น

 

พาณิชย์ เผย ส่งออกไทยเดือน ก.ค.ติดลบ 6.2 %

ทั้งนี้การส่งออกที่ลดลง มาจากการลดลงของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร 9.6% หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน โดยสินค้าเกษตร ลด 7.7% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ลด 11.8% โดยสินค้าที่หดตัว เช่น ยางพารา ลด 37.8% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ลด 12.9% น้ำตาลทราย ลด 30.3% ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ลด 7.7% ไก่แปรรูป ลด 11.4% ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ลด 62.8% ส่วนสินค้าที่เพิ่มขึ้น เช่น ข้าว เพิ่ม 18.8% สิ่งปรุงรสอาหาร เพิ่ม 17.8% ผักกระป๋องและผักแปรรูป เพิ่ม 17.2% นมและผลิตภัณฑ์นม เพิ่ม 27.9% ไข่ไก่สด เพิ่ม 92.9%

ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม ลด 3.4% สินค้าสำคัญที่ลด เช่น สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ลด 28.8% เครื่องคอมพิวเตอร์ อปกรณ์และส่วนประกอบ ลด 24.2% ผลิตภัณฑ์ยาง ลด 6.2% ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม ลด 24% ส่วนสินค้าที่เพิ่ม เช่น รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เพิ่ม 24.6% เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่ม 40.5% อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เพิ่ม 82.9% หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ เพิ่ม 29.4% รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เพิ่ม 10.8% ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ เพิ่ม 15.9%

ด้านการส่งออกไปตลาดสำคัญ ตลาดหลัก ลด 9.6% จากการลดลงของตลาดจีน 3.2% ญี่ปุ่น 1.7% อาเซียน 5 ประเทศ ลด 18.3%  CLMV ลด 26.5% และสหภาพยุโรป ลด 6.6% แต่สหรัฐ เพิ่ม 0.9% ตลาดรอง เพิ่ม 0.8% โดยทวีปออสเตรเลีย เพิ่ม 2.4๔ ตะวันออกกลาง เพิ่ม 8.2% แอฟริกา เพิ่ม 3.1% ลาตินอเมริกา เพิ่ม 14.8% รัสเซียและกลุ่ม CIS เพิ่ม 39.2% และสหราชอาณาจักร เพิ่ม 5.8% แต่เอเชียใต้ ลด 5.6% ส่วนตลาดอื่น ๆ เพิ่ม 66.8% เช่น สวิตเซอร์แลนด์ เพิ่ม 64.9%

นายกีรติ  กล่าวว่า  การส่งออกเดือนก.ค. มีมูลค่า 24,121 ล้านดอลลาร์ติดลบ 6.2% ส่วนหนึ่งเพราะฐานปีก่อนสูง ถึง23,613 ล้านดอลลาร์ แต่หากดูมูลค่า ก็ไม่ถือว่าแย่ เมื่อเทียบยอดเฉลี่ยการส่งออกของเดือน ก.ค. ตั้งแต่ปี 2561-65 ที่เฉลี่ย 21,333 ล้านดอลลาร์  และเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ การส่งออกของไทยอยู่ในระดับที่ดี ท่ามกลางปัจจัยความไม่แน่นอนจากต่างประเทศหลายปัจจัย ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจจีน และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ อย่างอินโดนีเซีย ติดลบ 18% เกาหลีใต้ ลบ 16.4% อินเดีย ลบ 15.9% มาเลเซีย ลบ 15.8% สิงคโปร์ ลบ 14.6% จีน ลบ 14.5% ไต้หวัน ลบ 10.4%

ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะเดินหน้าผลักดันการส่งออกอย่างเต็มที่ เพื่อให้ถึงเป้าทำงาน 1-2% โดยถ้าจะไม่ให้การส่งออกติดลบ เดือนที่เหลือต้องส่งออกเฉลี่ย 24,800 ล้านดอลลาร์ จะขยายตัว 0% แต่ถ้าเพิ่มเป็นเฉลี่ยเดือนละ 25,100 ล้านดอลลาร์ จะขยายตัว 0.5% ถามว่ายากหรือไม่ ก็ต้องพยายาม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะยังไม่ปรับเป้าหมายการส่งออกปีนี้ตามที่ตั้งไว้ 1-2% 

สำหรับแนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าการส่งออกจะได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว การผลิตและการบริโภคชะลอลง ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า และความผันผวนของค่าเงิน แต่คาดว่าฐานที่ต่ำในช่วงปลายปี ภาคบริการของประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัว และอานิสงส์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน ทำให้คู่ค้าหันมานำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางตัวจากไทยทดแทนตลาดจีนมากขึ้น

ด้านนายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 4 มีโอกาสสูงที่จะพลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ เนื่องจากปัญหาขาดแคลนชิปในการผลิตรถยนต์ได้คลี่คลายลงแล้ว ตลอดจนปัญหาการบริหารจัดการการส่งออกสินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบังก็กลับมาเรียบร้อยดี ส่งผลให้ยอดส่งออกรถยนต์ในเดือนก.ค.66 อยู่ในระดับสูงมากที่ 29.7 %  คาดว่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มที่มีโอกาสขยายตัวได้ดีในช่วงปลายปี ได้แก่ ยานยนต์ และชิ้นส่วนประกอบ, ข้าว และน้ำตาล ส่วนสินค้าที่มีความอ่อนไหว เพราะขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศผู้นำเข้า เช่น จีน ได้แก่ อาหาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่สินค้าส่งออกที่จะมีผลกระทบสูง ได้แก่ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ ซึ่งมีความสอดคล้องกับ ซัพพลายในจีน

ทั้งนี้การส่งออกของไทยในไตรมาส 4 ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกสูง ทั้งภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ และการขัดแย้งทางการเมือง แต่เชื่อว่าจะไม่ติดลบ และเป็นบวกแน่นอน แต่จะบวกเท่าไรนั้น ต้องวิเคราะห์กันต่อไป เพราะยังมีตัวแปรเยอะมาก ขึ้นกับสถานการณ์ต่างประเทศเป็นหลัก

ส่วนการส่งออกทั้งปี เดิมสรท.ฯ คาดว่าจะติดลบ 0.5% แต่หากประเมินตอนนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะลบมากกว่านี้ ถ้าเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว เศรษฐกิจคู่ค้าไม่เป็นใจ มีโอกาสที่จะติดลบ 1% ส่วนจะพลิกกลับมาเป็นบวก เป็นไปได้น้อย