ผู้ส่งออก-ข้าวถุง-โรงสีชี้“ราคาผันผวน” ปัจจัยท้าธุรกิจ“บริหารจัดการ”ยาก
ผู้ส่งออก-ผู้ประกอบการข้าวถุง-โรงสีประสานเสียง ราคาข้าวผันผวน ทำตลาดป่วนบริหารจัดการยากขึ้นทั้งสต็อก ต้นทุน ทำกำไรยากขึ้น ชี้เป็นปีทองชาวนาโอกาสรายได้สูงขึ้น รับต้องชะลอการขายเหตุราคาไม่สมต้นทุน
สถานการณ์ราคาข้าวปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาข้าวเปลือกเจ้า 5%(ความชื้น15%) ปรับตัวมาอยู่ที่ 1.3หมื่นบาทต่อตัน ข้าวหอมมะลิ ตันละ 1.6-1.65 หมื่นบาทต่อตัน และข้าวเหนียว (65/66) ตันละ 1.5-1.6 หมื่นบาทต่อตัน เมื่อราคาต้นทุนสูงขึ้นธุรกิจต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการส่งออกข้าวและธุรกิจข้าวถุงจะเผชิญความท้าทายการบริหารจัดเพิ่มขึ้น
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า เป็นช่วงที่ค้าขายลำบาก เพราะไม่สามารถควบคุมได้ โดยผู้นำเข้าต่างประเทศก็ซื้อข้าวเท่าที่จำเป็น เพราะกำลังประเมินว่าอินเดียจะขายข้าวให้กับประเทศที่ร้องขออย่างไร ล่าสุดสิงคโปร์ได้ติดต่ออินเดียเพื่อขอซื้อข้าวขาวแล้ว1.1แสนตัน ซึ่งรัฐบาลอินเดียได้อนุมัติขายให้ ส่วนภูฏานขอซื้อ9หมื่นตัน ขายให้7.9หมื่นตันแต่ก็ไม่มีรายละเอียด ว่าขายในราคาเท่าไร เมื่อไม่มีความชัดเจนก็ไม่รู้ว่าราคาข้าวไทยจะเปิดขายราคาเท่าไร
ขณะที่โรงสีก็เปิดขายข้าวน้อย บางครั้งก็ไม่เปิดขายเพื่อขอดูราคาข้าว หรือโรงสีบางแห่งไม่มีข้าว ภาระก็ตกอยู่กับผู้ส่งออก ไม่มีข้าวส่งหรือซื้อข้าวได้จำนวนน้อย หรือซื้อแล้วราคาก็ปรับสูงขึ้นไปอีก เพราะต้องดูอินเดียจะขายข้าวราคาเท่าไร นี่คือสถานการณ์การเป็นสุญญากาศทางการค้า ซึ่งเป็นแค่ประเทศไทยและเวียดนามด้วย
ขณะนี้เราต้องบริหารจัดการธุรกิจส่งออกให้เหมาะสมและระมัดระวังการรับคำสั่งซื้อโดยจะต้องมีข้าวอยู่ในมือก่อนถ้าไม่มีของแล้วขายก็มีโอกาสเจ็บตัว ขาดทุนและจำนวนที่ขายต้องเป็นปริมาณที่น้อยที่จะสามารถบริหารจัดการได้ไม่ใช่ขายล๊อตใหญ่เหมือนกับสถานการณ์ปกติ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของค่าเงินบาทที่มีความผันผวน ขึ้น-ลง รวดเร็ว ทำให้การโค้ดราคายากขึ้นไปอีก
อินเดียไม่เปิดราคาขายตลาดป่วน
“อินเดียประกาศขายข้าวตามคำร้องขอของประเทศต่างๆแต่ยังไม่เปิดราคาขายจึงยังไม่มีราคา ดังนั้นราคาตลาดข้าวจึงไม่มีความแน่นอน ล่าสุดอินเดียประกาศเก็บภาษีส่งออกข้าวนึ่ง20%รวมทั้งเมียนมาก็ประกาศระงับการส่งออกข้าวเป็นระยะเวลาเดือนครึ่งก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ตลาดร้อนแรงเข้าไป อีก ซึ่งราคาข้าวในปัจจุบันขยับขึ้นสูงมากในรอบหลายปีคาดว่าสถานการณ์จะนิ่งประมาณ1-2เดือน ”
นายชูเกียรติ กล่าวว่าสำ หรับรัฐบาลใหม่ ขอฝากให้รัฐบาลมีนโยบายข้าว คือ ภาคการผลิตต้องลดต้นทุนการผลิต มีความหลากหลายของพันธุ์ข้าว ซึ่งเราต้องมีพันธุ์ข้าวใหม่ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าปัจจุบัน ซึ่งประเทศเวียดนามที่เป็นคู่แข่งของไทยมีผลผลิตต่อไร่สูง คือ1,000ตันต่อไร่แต่ของไทยผลผลิตต่อไร่เพียง400ตันต่อไร่ ซึ่งทำให้ไทยแพ้เวียดนามตั้งแต่ต้น รวมทั้งคุณภาพข้าวด้วย ที่สำคัญรัฐบาลทุกรัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องของราคาข้าวเป็นหลัก แต่ควรไปช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการเกษตรกร เช่น ค่าแรงเก็บเกี่ยวเพราะหากมีนโยบายด้านราคาก็จะทำให้บิดเบือนกลไกการตลาด จึงขอฝากรัฐบาลใหม่ในเรื่องนี้ด้วย
ปีทองชาวนาไทยรายได้สูงขึ้น
นายยงยุทธ พฤกษ์มหาดำรง นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุง กล่าวว่า ทางอินเดียประกาศเพิ่มภาษีส่งออกข้าวนึ่ง20% เพิ่มจากการระงับการส่งออกข้าว ประกอบกับเมียนมาประกาศหยุดส่งออก 45วัน ทำให้ราคาข้าวปรับราคาสูงขึ้น แต่หากดูสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวขณะนี้ 50-60 % ก็ยังเป็นราคาเดิม โดยข้าวเปลือกชื้น คือ 1,100-1,500 บาทต่อกิโลกรัม(กก.)ส่วนข้าวเปลือกแห้ง12.50 บาทต่อกก. และข้าวสารราคา 20.50 -21 บาทต่อกก. ซึ่งเป็นราคาดีต่อเกษตรกร ทำให้ภาครัฐไม่ต้องออกมาตรการหรือใช้งบประมาณมาช่วยเหลือเกษตรกร ขณะที่ผู้ประกอบการเองเมื่อต้นทางเพิ่มปลายทางก็จำเป็นต้องปรับราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุน แต่ไม่ใช่จะปรับขึ้นได้ตามความต้องการ เพราะตลาดก็มีคู่แข่ง
ปัจจุบันราคาข้าวปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นตามปัจจัยภายนอกทั้งเรื่องของปัญหาความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ เงินเฟ้อ เศรษฐกิจโลก ดอกเบี้ย ดังนั้นผู้ประกอบการเองก็ต้องบริหารจัดการธุรกิจให้ได้ท่ามกลางความผันผวน ซึ่งต้องดูเรื่องต้นทุน ซัพพลายเชน อย่างไรก็ตามมองว่าปีนี้เป็นปีทองของเกษตรกร เพราะราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้นมากถือเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร
รับต้องชะลอขายเหตุราคาไม่สมต้นทุน
นายรังสรรค์ สบายเมือง นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ราคาข้าวในขณะนี้ทำให้การจัดการเรื่องต้นทุนทำได้ยากเพราะเมื่อต้นทุนมีราคาสูงขึ้น ก็ทำให้สัดส่วนกำไรลดลงไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในทางปฎิบัติการทำงานขณะนี้ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้การซื้อขายมาถึงจุดที่ต้องขาดทุน ทำให้เมื่อราคาซื้อขายไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่โรงสีต้องแบกรับก็อาจต้องชะลอการขายไปบ้าง
ทั้งนี้ราคาข้าวที่สูงขึ้นขณะนี้เบื้องต้นประเมินว่า น่าจะมีโอกาสสูงขึ้นต่อเนื่องไปอีก เพราะหลังจากที่เบอร์หนึ่งของผู้ส่งออกข้าวโลกระงับการส่งออก ตลาดโลกก็จะมองมาท่ี่ไทยและเวียดนาม ทำให้แนวโน้มราคาข้าวไทยจะมากขึ้น ซึ่งข้าวกำลังจะออกสู่ตลาดตอนนี้โรงสีจึงเร่งเก็บข้าวไว้ในสต็อกเพื่อให้แน่ใจว่ามีสินค้าส่งมอบแต่การมีสินค้าในมือจำนวนมากอาจไม่ปลอดภัยเสมอไป เพราะต้องบริหารจัดการต้นทุนในถูกจังหวะเวลาด้วย เพราะหากบริหารผิด ต้นทุนที่เก็บไว้มากอาจกลายเป็นจุดอ่อนทางธุรกิจๆได้
“ตอนนี้ในสมาคมก็พูดคุยกันเรื่องราคาข้าวที่ยอมรับว่าขึ้นมาสูงมาก เมื่อต้นทุนสูง ช่วงว่างที่จะทำกำไรก็จะลดลง เราก็ต้องระมัดระวังการสต็อกข้าวให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับภาวะตลาด ซึ่งข้าวที่กำลังจะใกล้ออกสู่ตลาดช่วงต.ค.นี้เป็นโอกาสที่ดีของชาวนาที่น่าจะมีรายได้ที่ดีได้”
อย่างไรก็ตาม มองว่า ราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงสถานการณ์ไม่ปกติ ดังนั้น จึงอยากเห็นรัฐบาลใหม่กำหนดนโยบายที่สะท้อนการบริหารจัดการทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำคือชาวนา ให้มีองค์ความรู้บริหารจัดการที่ดเหมาะสมยั่งยืน ขณะที่ตอนกลางของห่วงโซ่การผลิตอย่างโรงสีข้าวก็อยากให้รัฐบาลมีการพัฒนาทั้งพันธุ์ข้าวและระบบการจัดการที่ดีร่วมกันทุกภาคส่วน
“อยากหาโอกาสเข้าไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อนำเสนอข้อมูลและแนวความคิดที่จะพัฒนากลไกและการผลิตข้าวทั้่งระบบให้ก้าวหน้าไปด้วยกัน ซึ่งมองว่า เรื่องตัวบุคคลต้องรอดูผลงานกันก่อน”
ไทยทวงส่วนแบ่งตลาดข้าวโลก
นางสาวจิตติมา ศรีถาพร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า ในปีนี้ คาดว่า ข้าวไทยจะกลับมาครองส่วนแบ่งตลาดได้ในหลายประเทศ ทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดอันดับ1ให้คู่แข่งสำคัญ อย่างเวียดนาม และอินเดีย เพราะราคาข้าวไทยสูงกว่า เฉลี่ยมากกว่าตันละ50ดอลลาร์แม้คุณภาพดีกว่าก็ตาม อีกทั้งเวียดนาม มีข้าวหลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น โดยเฉพาะข้าวพันธุ์พื้นนุ่ม ที่ปัจจุบัน หลายตลาดนิยมบริโภคมากขึ้น
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ส่วนแบ่งตลาดข้าวไทยกลับมาสูงขึ้น เพราะหลายประเทศเร่งนำเข้า เพื่อความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากปริมาณข้าวสำรองในประเทศลดลงมาก หลังจากเกิดภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ รวมถึงน้ำท่วมและภัยธรรมชาติอื่นๆ ที่กระทบต่อการเพาะปลูกของประเทศผู้นำเข้า อีกทั้งอินเดียห้ามส่งออกข้าวขาวเป็นการชั่วคราว ขึ้นภาษีส่งออกข้าวนึ่ง และกำหนดราคาส่งออกขั้นต่ำของข้าวบาสมาติที่1,2000ดอลลาร์ต่อตัน ทำให้หลายประเทศเกรงจะเกิดความขาดแคลนข้าวในตลาดโลก จึงเร่งนำเข้า
นอกจากนี้ ขณะนี้ ราคาข้าวไทย อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ อย่างล่าสุด ราคาข้าวขาว5%ของไทย 620ดอลลาร์ต่อตัน เวียดนาม 635ดอลลาร์ต่อตัน อีกทั้งปีนี้ ผลผลิตข้าวไทยมีเพียงพอ ทั้งสำหรับบริโภคในประเทศ และส่งออก ขณะที่ผู้ส่งออกหลายประเทศ เช่น เวียดนาม ลดการผลิต ทำให้ผลผลิตข้าวตึงตัวสำหรับการส่งออก