แจกเงินดิจิทัล 5 แสนล้าน กระตุ้นศก.แค่ระยะสั้น TDRI แนะเพิ่มลงทุน-อัพสกิล
“สมเกียรติ” TDRI มองนโยบายเพื่อไทยคุณภาพลดลงเมื่อเทียบกันสมัยไทยรักไทย ติงนโยบายแจกเงินดิจิทัลใช้งบประมาณมาก หากเดินหน้าควรเพิ่มเงื่อนไขให้ฝึกทักษะอาชีพใหม่ รับค่าแรงขยับ หากเปลี่ยนนโยบายเป็นช่วยเฉพาะคนยากจนจริงๆจะใช้งบประมาณไม่มากและช่วยต่อเนื่องได้หลายปี
“รัฐบาลเศรษฐา1” มีกำหนดแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันนี้ (11ก.ย.) ก่อนที่จะเดินหน้าบริหารประเทศ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ รัฐบาลมีนโยบายหลายอย่างที่ต้องการผลักดันให้ได้โดยเร็วเช่นการแจกเงินดิจิทัลคนละ10,000 บาท ให้กับประชาชนที่อายุ 16 ปี และการลดราคาพลังงานน้ำมันและไฟฟ้าซึ่งเป็นมาตรการที่ถูกจับตามองถึงผลกระทบโดยเฉพาะการเงินการคลังของประเทศในระยะต่อไป
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่าหากดูในภาพรวมของนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่มาเป็นรัฐบาลในสมัยนี้คุณภาพของนโยบายโดยต่ำลงเมื่อเทียบกับสมัยรัฐบาลไทยรักไทย แม้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะตั้งเป้าให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ปีละ 5% แต่หากว่าใช้วิธีการแจกเงินดิจิทัลหรือที่เรียกว่าดิจิทัลวอลเล็ตการเติบโตของเศรษฐกิจที่ระดับ 5% จะโตได้แค่ปีเดียวหรือเต็มที่คือ 2 ปีเท่านั้น
การใช้เงินจำนวนมากของรัฐบาลสมมุติจะใช้ 5.6 แสนล้านบาทในการแจกคนละ 10,000 บาทก็จะเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ได้ในปี 2567 ที่ใช้มาตรการจากนั้นพลังของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็จะหมดอย่างรวดเร็ว และรัฐบาลก็จะหมดกระสุนในการอัดฉีดเศรษฐกิจด้วย เนื่องจากใช้เงินก้อนโตและใช้เงินลงไปอย่างที่ไม่ตรงจุดเท่าไหร่
“จะให้เศรษฐกิจปีหน้าโต 5% ไม่ใช่เรื่องยากหากจะทำให้โตจากการแจกเงิน เพราะในปีนี้ฐานการเติบโตของจีดีพีจะต่ำ แต่ในระยะยาวต้องคิดให้ดี และการใช้ในเรื่องของเทคโนโลยีก็ควรจะต้องศึกษาความเหมาะสมด้วยไม่ควรไปตื่นเต้นกับกิมมิกส์ในเรื่องของเทคโนโลยีแค่นั้นแต่ต้องดูการใช้ประโยชน์ที่ทำได้จริงด้วย โดยการใช้เงิน 5 แสนล้านบาทจะตอบจุดประสงค์ทางการเมืองเพื่อให้คนมาเลือกตั้งครั้งต่อไปมาเลือกพรรคมากๆส่วนนี้ขอไม่วิจารณ์
แต่หากพรรคโฆษณาว่าเอามาช่วยแก้จน ในความเป็นจริงแล้วหากจะช่วยคนไทยที่จนไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนี้ หากเอาตัวเลขคนยากจนที่อยู่ใต้เส้นความยากจนที่เป็นตัวเลขของสภาพัฒน์ คนจำนวนนี้จะมีอยู่ทั้งสิ้น 4.4 ล้านคนเท่านั้น หากแจกเงินให้คนจำนวนนี้เพื่อให้หลุดพ้นจากความยากจน แทนที่จะแจกแบบหว่านเงิน เงินจำนวน 5 แสนล้านจะสามารถช่วยให้คนพ้นความยากจนไปได้อีก 15 – 16 ปี แทนที่จะแจกทีเดียวแล้วหมดไป” นายสมเกียรติ กล่าว
ประธานทีดีอาร์ไอกล่าวต่ออีกว่าหากรัฐบาลนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนเพื่อให้คนเก่งขึ้นมีทักษะมากขึ้น ส่วนนี้จะได้ผลดีต่อประเทศในระยะยาวเพราะคนมีทักษะและความรู้มากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของการแจกเงิน เช่น เงื่อนไขที่พรรคเพื่อไทยกำหนดว่าเงินจะเน้นการบริโภคโดยมีเงื่อนไขเช่นบอกว่าในรัศมีไม่เกิน 4กิโลเมตร ซึ่งควรจะมีเงื่อนไขของการรับเงินที่บอกว่าต้องเอาเงินจำนวนนี้มาลงทุนที่เป็นรูปธรรม เช่น แจก10,000 บาท หากมีการกำหนดเงื่อนไขว่าในส่วนของ 5,000 บาท จะต้องเอาไปสร้างทักษะอัพสกิล รีสกิล ก็จะทำให้แรงงานมีทักษะมากขึ้นและส่งผลดีกับผลิตภาพของแรงงาน
วันนี้งานใหม่ๆกำลังมาปัญหาประดิษฐ์กำลังมา เทคโนโลยีใหม่ๆกำลังมา โลกกำลังจะเปลี่ยนไปสู่โลว์คาร์บอนจะต้องมีสกิลใหม่อะไรบ้าง เพราะเรื่องนี้จะเกี่ยวพันไปถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หากสามารถทำให้คนเก่งขึ้นได้การขึ้นค่าจ้างค่าแรงก็จะทำได้ง่ายเพราะนายจ้างยินดีที่จะจ่ายให้กับแรงงานที่มีประสิทธิภาพ และผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้น โดยที่รัฐไม่ต้องไปทำอะไรมากค่าแรงจะขึ้นโดยธรรมชาติ และการประกาศค่าแรงขั้นต่ำนั้นเอาไว้สำหรับคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้นไม่จำเป็นต้องกำหนดให้เป็นกลุ่มใหญ่เพราะแรงงานส่วนใหญ่เมื่อทักษะเพิ่มขึ้นค่าแรงจะมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว
“พรรคเพื่อไทยทำหลายเรื่องเจตนาดีที่อยากให้คนมีค่าแรงสูงขึ้น แต่ถ้าทำแบบนี้ไปก็จะเกิดปัญหาคือรัฐต้องเทเงินลงไปเพื่อคาดหวังคะแนนเสียง ขณะที่ภาคธุรกิจก็จะเจอแรงกดดัน ที่จะต้องขึ้นค่าแรงโดยทักษะแรงงานไม่ได้เพิ่มขึ้นเมื่อเจอแบบนี้การพัฒนาเศรษฐกิจที่ภาคธุรกิจเป็นตัวนำก็จะเกิดไม่ได้ เพราะทรัพยากรของรัฐที่เหลือในแง่ของวงเงินงบประมาณที่จะมาช่วยเพิ่มการวิจัย การพัฒนาทักษะแรงงานก็จะหายไป ธุรกิจก็จะต้องช่วยตัวเองซึ่งธุรกิจขนาดเล็กก็จะมีข้อจำกัดมากขึ้นไปอีก”ประธานทีดีอาร์ไอระบุ
นายสมเกียรติกล่าวต่อว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างว่าเศรษฐกิจไทยติดหล่ ในปีนี้เดิมเราคาดว่าเศรษฐกิจของไทยเราจะเติบโตได้ 3% กว่าๆตอนนี้ถึงเวลาจริงๆมีการหั่นตัวเลขจีดีพีลงของหลายสำนักเศรษฐกิจ ตัวเลขไตรมาส 2 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ที่ออกมาว่าไตรมาส 2 เติบโตได้แค่ 1.8% ก็ทำให้ทุกคนตกใจกันว่าทำไมตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยนั้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ตัวเลขนี้เป็นตัวสะท้อนว่าหากประเทศไทยไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจขนานใหญ่ก็ยากที่ประเทศไทยจะมีเศรษฐกิจที่เติบโตได้มากๆ เราก็จะเติบโตได้ 3%หรือมากกว่า 3% เล็กน้อย ตัวเลขนี้หมายความว่าหากคนที่ทำธุรกิจแล้วต้องการเห็นธุรกิจของไทยเติบโตได้ปีละ 10% การทำธุรกิจอยู่ในไทยอย่างเดียวก็จะยากแล้วเพราะถูกจำกัดการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ
แนะนโยบายที่ดีเน้นลงทุนมากกว่ากระตุ้นระยะสั้น
ทั้งนี้นโยบายที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรงคือจำเป็นที่จะต้องลงทุน ลงทุนไม่ใช่การกระตุ้นการบริโภค เพราะการกระตุ้นการบริโภคเป็นการตอบโจทย์ทางการเมืองในการระดมคะแนนเสียง ซึ่งตอบโจทย์ทางการเมืองได้แค่ไหนก็ต้องย้อนกลับไปดูผลการเลือกตั้ง เพราะพรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเรื่องการแจกเงินดิจิทัลมาตั้งแต่แรก แต่คะแนนเสียงก็ออกมาแบบก้ำกึ่งผลตอบรับไม่ได้ดีมาก
“นักการเมืองส่วนใหญ่รู้ดีว่าหากรัฐบาลอายุสั้นนั้นก็ไม่อยากทำในเรื่องการลงทุน ไม่อยากทำอะไรที่ใช้เวลา 4 ปีหรือเกินกว่า 4 ปี รัฐบาลก็จะไม่ค่อยทำ ซึ่งจะมีคำบางคำที่พรรคการเมืองจะใช้เป็นประจำคือ “มีอะไรที่เป็นควิกวิน” อะไรที่ทำให้ชนะได้เร็วๆ ซึ่งที่จริงแล้วจะไม่ค่อยมีโครงการลักษณะที่เป็นควิกวินแล้วจะส่งผลต่อเศรษฐกิจระยะยาวได้เท่ากับการลงทุน เช่น การทำการศึกษาให้คุณภาพสูงๆ ทำให้เอสเอ็มอีมีศักยภาพในการแข่งขันได้ในระยะยาวๆ ทำอย่างไรให้คนไทยมีทักษะแรงงานดีๆของพวกนี้ทำในระยะเวลาแค่ 1 -2 ปีไม่สำเร็จ ต้องทำต่อเนื่อง 5 – 10 ปี ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว
เช่นเดียวกับการลงทุนในระบบราชการที่จะต้องทำให้ระบบราชการเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศให้ได้ เพราะระบบราชการคือกลไกสำคัญที่จะนำเอานโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติหากไม่สามารถปฏิรูปเปลี่ยนแปลงระบบราชการไทยให้มีความเข้มแข็งได้นโยบายต่างๆก็จะไม่เกิดผลดีต่อประเทศ” นายสมเกียรติ กล่าว