ธรรมนัส ตั้งกรรมการแก้ปัญหารัฐร่วมเอกชน ปลดแอกกฎไอยูยูกระทบประมงชายฝั่ง
ธรรมนัส แต่ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาประมงรัฐร่วมเอกชน เป้าแก้อุปสรรคประมงพื้นบ้าน ชายฝั่ง พร้อม เดินหน้า“โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ 62 จังหวัด 62 ล้านตัว” เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำ ดูแลเกษตรกรฐานรากให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง เป็นประธานพิธีเปิดงานครบรอบวันสถาปนากรมประมง ปีที่ 97 ที่จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “97 ปี กรมประมง สร้าง เสริม เพิ่ม ยก พัฒนา ประมงไทย ก้าวสู่ศตวรรษใหม่อย่างยั่งยืน” และ “วันประมงแห่งชาติ ประจำปี 2566 ว่า
ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหารัฐร่วมเอกชน โดยมีตนเป็นประธาน ร่วมกับตัวแทนจากชาวประมง ประมงพาณิชย์ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาสืบเนื่องมาจากกฎหมายประมง พศ. 2558 เพื่อรองรับข้อห้ามการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม หรือไอยูยู ซึ่งกฎระเบียบหลายอย่างยังเป็นอุปสรรคต่อชาวประมง
โดยส่วนตัวเห็นว่าเมื่อไทยสามารถแก้ไขปัญหาไอยูยูได้แล้ว เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ ดังนั้นก็ควรจะแก้ปัญหาภายในไม่ให้ไอยูยู มาเป็นอุปสรรคต่ออาชีพประมงของไทย โดยเฉพาะประมงพื้นบ้าน ชายฝั่ง
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งเดินหน้านโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน “โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ 62 จังหวัด 62 ล้านตัว” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำให้เป็นแหล่งอาหารโปรตีนของประชาชนและชาวประมง และเพื่อดูแลเกษตรกรฐานรากให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ตลอดจนมีความอยู่ดีมีสุข
ซึ่งพันธุ์สัตว์น้ำที่ปล่อยในลุ่มน้ำสำคัญ จะเป็นสัตว์น้ำต้นทุนที่ช่วยฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ สร้างสมดุลระบบนิเวศ และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับสิ่งแวดล้อม โดยในวันนี้เป็นวันประมงแห่งชาติ ครบรอบปีที่ 40 จึงมีการจัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ 4 แห่ง ใน 4 ภาค แห่งละ 300,000 ตัว จำนวนรวมทั้งสิ้น 1,200,000 ตัว ได้แก่
1) บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ 2) กว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา 3) หนองหาร จังหวัดสกลนคร และ 4) เขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ทั้งหมด 8 ชนิด ประกอบด้วย ปลาตะพัด ปลาตะเพียนทอง ปลาตะเพียนขาว ปลาบ้า ปลากระแห ปลาเทพา ปลาสร้อยขาว และปลาหมอตาล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และชาวประมง ที่ได้รับคัดเลือกเป็นเกษตรกรดีเด่นในแต่ละสาขา ทั้งประเภทบุคคลทางการเกษตรดีเด่น ประเภทสถาบันเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรดีเด่นด้านการประมงที่ได้รับโล่รางวัลในวันนี้ภาคการประมงนับได้ว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการทำการประมง ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ตลอดจนสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรของประเทศไทยและประชากรโลก
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมงให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและบริหารการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่ภาคการประมงของประเทศให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยการพัฒนาการผลิตสัตว์น้ำและสินค้าประมงที่ได้มาตรฐาน
ตลอดจนป้องปรามการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรประมงให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดและยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ควบคู่ไปกับการสร้างอาชีพประมงให้เกิดวิถีความอยู่ดีมีสุขให้กับเกษตรกรชาวประมงและประชาชนมาโดยตลอด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GDP ภาคการประมง สูงถึง 130,313 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 จากปี 2564 และยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับวันครบรอบวันสถาปนากรมประมง ปีที่ 97 ในปีนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ได้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู บริหารจัดการทรัพยากรประมง ส่งเสริมการผลิตและการตลาดอย่างเป็นรูปธรรมในทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นการสร้าง เสริม เพิ่ม ยก พัฒนา ประมงไทยอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้พี่น้องชาวประมงเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำผู้ประกอบการด้านการประมงสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมั่นคงและพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน