ผลกระทบสงคราม 'อิสราเอล – ปาเลสไตน์' ต่อการค้าไทย

ผลกระทบสงคราม 'อิสราเอล – ปาเลสไตน์' ต่อการค้าไทย

กระทรวงพาณิชย์ประเมินผลกระทบสงคราม ทั้งทางตรง - ทางอ้อม ต่อเศรษฐกิจการค้าไทย หวั่นสถานการณ์บานปลาย ฉุดการส่งออกไทยไปกลุ่มตลาดใหม่ ตะวันออกกลางชะงัก

1.สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสชาวปาเลสไตน์

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ที่มีมาอย่างยาวนานยกระดับรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ หลังจากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 กลุ่มฮามาส (Hamas) หรือองค์กรการเมืองติดอาวุธของชาวปาเลสไตน์ซึ่งปกครองฉนวนกาซา เปิดปฏิบัติการ Al-Aqsa Flood ยิงจรวดเข้ามาในอิสราเอลเป็นวงกว้าง และส่งกองกำลังติดอาวุธเข้าไปโจมตีเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล โดยอ้างเหตุผลการโจมตีว่าเพื่อตอบโต้ต่อความโหดร้ายทั้งหมดที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญจากอิสราเอลตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งการโจมตีดังกล่าวทำให้นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ออกแถลงการณ์ประกาศให้ “อิสราเอลเข้าสู่ภาวะสงคราม” และโจมตีตอบโต้กลุ่มฮามาส ขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลให้กับทั่วโลกว่าสถานการณ์อาจลุกลามบานปลายยกระดับความตึงเครียดสู่ระดับภูมิภาค และจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย

2. ผลกระทบของสงครามต่อการค้าไทย

ผลกระทบทางตรง 

1. จากการประเมินผลกระทบทางตรงต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย กรณีที่สถานการณ์การสู้รบที่อยู่ในพื้นที่จำกัด (บริเวณฉนวนกาซา) ยังไม่มีการปิดประเทศ หรือปิดกั้นระบบการขนส่งทั้งหมด น่าจะยังไม่กระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศคู่ขัดแย้ง (อิสราเอล และปาเลสไตน์) หรือหากกรณีที่ไม่สามารถส่งออกไปได้ ก็จะไม่ได้ส่งผลต่อการส่งออกรวมของไทยมากนัก เนื่องจากอิสราเอล และปาเลสไตน์ไม่ใช่คู่ค้าสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกันค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับปริมาณการค้าต่างประเทศของไทยยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ จึงเชื่อว่าสงครามดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศในภาพรวมของไทยมากนัก

การค้าระหว่างไทยกับอิสราเอล (ปี 2565)

มูลค่าการค้ารวมไทยกับอิสราเอล อิสราเอลเป็นคู่ค้าลำดับที่ 42 ของไทย การค้าระหว่างไทย – อิสราเอลมีมูลค่า 1,401.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัวร้อยละ 10.0) หรือ 49,182 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.2 ของการค้ารวมของไทยเท่านั้น

การส่งออกของไทยไปอิสราเอล อิสราเอลเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 38 ของไทย มีมูลค่า 850.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัวร้อยละ 2.9) หรือ 29,728 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.3 ของการส่งออกรวมของไทย โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (สัดส่วน 28.6%) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (9.6%) อัญมณี และเครื่องประดับ (9.6%) ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และส่วนประกอบ (4.1%) ข้าว (3.8%) เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ (3.0%) ผลิตภัณฑ์ยาง (3.0%) เม็ดพลาสติก (2.5%) ไม้ และผลิตภัณฑ์ไม้ (2.4%) เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ (2.2%) เป็นต้น

การนำเข้าของไทยจากอิสราเอล อิสราเอลเป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 45 ของไทย มีมูลค่า 551.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัวร้อยละ 22.9) หรือ 19,455 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.2 ของการนำเข้ารวมของไทย โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องเพชร พลอย และอัญมณี (สัดส่วน 26.1%) ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืช และสัตว์ (15.5%) เครื่องจักรไฟฟ้า และส่วนประกอบ (10.3%) เคมีภัณฑ์ (6.2%) เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ (5.6%) ยุทธปัจจัย (5.3%) เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ (5.3%) แผงวงจรไฟฟ้า (4.9%) ผัก ผลไม้ และของปรุงแต่ง (4.0%) ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก (2.1%) เป็นต้น

การค้าระหว่างไทยกับปาเลสไตน์ (ปี 2565)

มูลค่าการค้ารวมไทยกับปาเลสไตน์ ปาเลสไตน์เป็นคู่ค้าลำดับที่ 186 ของไทย การค้าระหว่างไทย – ปาเลสไตน์ มีมูลค่า 5.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัวร้อยละ 113.3) หรือ 134.4 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.001 ของการค้ารวมของไทย 

การส่งออกของไทยไปปาเลสไตน์ ปาเลสไตน์เป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 169 ของไทย มีมูลค่า 5.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 178.3 ล้านบาท (ขยายตัวร้อยละ 113.3) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.002 ของการส่งออกรวมของไทย โดยมีสินค้าส่งออก อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (สัดส่วน 62.8%) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (33.7%) กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ (2.1%) และเครื่องดื่ม (1.4%) เป็นต้น

การนำเข้าของไทยจากปาเลสไตน์ ปาเลสไตน์เป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 233 ของไทย โดยมีมูลค่านำเข้าน้อยมากเพียง 1,316 ดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัวร้อยละ 408.1) หรือ 44,157 บาท โดยมีสินค้านำเข้า อาทิ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์ยานยนต์ (สัดส่วน 56.9%) เครื่องจักรไฟฟ้า และส่วนประกอบ (22.1%) และนาฬิกาและส่วนประกอบ (21.0%) 

2. ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเส้นทางที่มีสงคราม

ผลกระทบที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นในพื้นที่ภัยสงครามในเชิงเศรษฐกิจการค้า เช่น ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศและค่าประกันภัยในเส้นทางที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติอาจปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งความล่าช้าในการขนส่ง ทั้งนี้ อาจต้องติดตามสถานการณ์ท่าเรือนำเข้าที่สำคัญของอิสราเอลอย่างท่าเรือ Haifa ท่าเรือ Ashdod หากเกิดกรณีที่มีการยกระดับความขัดแย้งขึ้น เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศต่อไป

ผลกระทบทางอ้อม

1) ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก 

ตลาดน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวนไปในทิศทางสูงขึ้น โดยหลังเกิดเหตุการณ์สู้รบส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเมื่อวันที่ 9 ต.ค.66 ปรับตัวพุ่งสูงกว่า 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความกังวลว่าสถานการณ์ความไม่สงบอาจกระตุ้นให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขนส่งน้ำมันในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีต พบว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์มักจะส่งผลให้
ราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความกังวลต่อการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานน้ำมันดิบ ทั้งนี้ หากความขัดแย้งไม่ขยายวงกว้างมากขึ้น น่าจะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากอิสราเอลและปาเลสไตน์ไม่ใช่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตลาดโลก (พื้นที่สงครามมีการผลิตน้ำมันดิบเพียง 7.2 แสนบาร์เรลต่อวัน) และไม่ได้กระทบต่อการขนส่งน้ำมันที่คลองสุเอซมากนัก 

 

2) ผลกระทบต่อการค้ากับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 

ภูมิภาคตะวันออกกลาง มีโอกาสที่จะเปราะบางมากขึ้น จากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การแบ่งขั้วพันธมิตรสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และอาจมีโอกาสลุกลามเกิดความไม่สงบภายในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย โดยในปี 2565 การค้าระหว่างไทย - ตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.6 ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย การส่งออกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.8 ของการส่งออกรวม (ขยายตัวร้อยละ 23.5) และการนำเข้าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.2 ของการนำเข้ารวม (ขยายตัวร้อยละ 53.5) ซึ่งประเทศในกลุ่มนี้เป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเป้าหมายการส่งออกของไทยชดเชยตลาดหลักที่ชะลอตัวในปีนี้ และเป็นแหล่งนำเข้าพลังงานสำคัญที่สุดของไทย ดังนั้น หากสงครามระหว่างอิสราเอล – ปาเลสไตน์ลุกลามสู่ความขัดแย้งในระดับภูมิภาคจะส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางได้รับผลกระทบ มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงตามความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ชะลอตัว ขณะที่การนำเข้าพลังงานอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการด้านการขนส่ง และอุปทานน้ำมันที่ลดลงในภูมิภาค

 

ผลกระทบต่อไทย 

การส่งออก: หากสถานการณ์ลุกลามจนเกิดภาวะ shock ขึ้นในภูมิภาค เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2554 – 2556 เหตุการณ์ “Arab Spring” ที่เกิดจากการลุกฮือของประชาชนเพื่อต่อต้านรัฐบาลในตะวันออกกลาง และได้ลุกลามขยายวงกว้างสร้างความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในอียิปต์ ลิเบีย เยเมน และบาห์เรน ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกให้พุ่งขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นทางการค้ากับตะวันออกกลาง และทำให้การส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคดังกล่าวขยายตัวชะลอลง โดยการส่งออกไปตะวันออกกลางในช่วง Arab Spring ปี 2554 มีมูลค่า 10,772 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 11.4 ; ปี 2555 มีมูลค่า 11,448 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 6.3 ; ปี 2566 มีมูลค่า 11,516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.6

การนำเข้า: กรณีที่สถานการณ์ยังอยู่ในวงจำกัด ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานน้ำมัน เพราะไม่ได้มีการนำเข้าน้ำมันจากอิสราเอลหรือปาเลสไตน์ และมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากหลากหลายแหล่ง แต่หากสถานการณ์ขยายขอบเขตสู่ระดับภูมิภาคจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากภูมิภาคตะวันออกกลางคือ แหล่งนำเข้าสินค้าพลังงาน (น้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป ก๊าซธรรมชาติ) ที่สำคัญของไทย โดยไทยนำเข้าสินค้าพลังงานจากตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 52.3 ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย

3. ผลกระทบต่อบรรยากาศการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

นิตยสาร Fortune ได้รวบรวมมุมมองนักลงทุน นักเศรษฐศาสตร์ และนักกลยุทธ์ ต่อผลกระทบต่อตลาดโลกจากเหตุการณ์โจมตีอิสราเอล สรุปได้ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกอยู่ท่ามกลางอุปสงค์ที่ชะลอตัวทั่วโลกอยู่แล้ว จากการใช้นโยบายการเงินตึงตัว การคงดอกเบี้ยสูงยาวนาน ส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภค และต้นทุนของผู้ผลิต โดยความตึงเครียดที่ปะทุขึ้นในตะวันออกกลาง หากขยายตัวเป็นวงกว้าง และอุปทานน้ำมันยังคงตึงตัวอยู่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานสูงขึ้นอีกในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งจะทำลายความพยายามของธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ที่พยายามจะควบคุมอัตราเงินเฟ้อ นั่นทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดเงินเฟ้ออีกระลอก ซึ่งจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลงมากขึ้น 

4. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลมายังไทย

นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยลดลง เนื่องจากการประกาศภาวะสงครามทำให้ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ความตื่นตระหนกสร้างความกลัวทำให้นักท่องเที่ยวเก็บเงินเพื่อใช้สำหรับสิ่งจำเป็นรักษาชีวิตมากกว่าที่จะเดินทางท่องเที่ยว อาจทำให้ไทยสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่มาเที่ยวไทย ประมาณ 16,000 ล้านบาทต่อปี (ประมาณการจากรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในช่วงก่อนการเกิดโควิด-19 ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ทั้งนี้ ใน 8 เดือนแรกของปี 2566 นักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เดินทางมาเที่ยวไทย มีจำนวน 159,263 คน (คิดเป็นร้อยละ 0.9 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรวมที่เข้ามาไทย) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 139.6 อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และการใช้จ่ายต่อหัวไม่ได้สูงมาก การลดลงของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลจึงไม่น่าจะกระทบกับภาพรวมการท่องเที่ยวไทยมากนัก

5. ผลกระทบต่อการลงทุนกับอิสราเอล 

นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในอิสราเอลจำนวนน้อยมาก แม้ว่าอิสราเอลจะเปิดกว้างรับนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นได้ 100% (ยกเว้นด้านการทหาร และความมั่นคง) โดยสาขาที่รัฐบาลอิสราเอลสนับสนุนเป็นพิเศษ ได้แก่ เคมีอินทรีย์ เครื่องมือแพทย์ พลังงานชีวภาพ โทรคมนาคม และ ICT ทั้งนี้ ปัญหาที่นักลงทุนไทย และต่างชาติกังวลคือ เรื่องของความปลอดภัยจากภาวะสงคราม และต้นทุนการลงทุนที่สูง ทั้งค่าแรงขั้นต่ำ ค่าเช่าพื้นที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภค (ที่มา: https://siamrath.co.th/n/246268)

ไม่มีการลงทุนจากอิสราเอลในไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ในช่วงปี 2563 – 2565 มีโครงการลงทุนของอิสราเอลที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI จำนวน 11 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 186 ล้านบาท (ปี 2563 มีจำนวน 1 โครงการ มูลค่า 1 ล้านบาท; ปี 2564 มีจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 147 ล้านบาท; และปี 2565 มีจำนวน 5 โครงการ 38 ล้านบาท) ซึ่งยังไม่มีโครงการใดได้รับการอนุมัติ 

 

สุดท้ายนี้ ทางออกทางการทูตมีความจำเป็นเร่งด่วนต่อสถานการณ์นี้ ประชาคมโลกจะต้องร่วมมือกันไกล่เกลี่ย และกำหนดเส้นทางสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและสันติ เพื่อที่จะลดระดับความรุนแรงของวิกฤติ และแสวงหาสันติภาพร่วมกันของประชาคมโลก บทเรียนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน สะท้อนให้เห็นว่าความเสี่ยงที่วิกฤติจะยืดเยื้อยาวนาน จากรากฐานของปัญหาเกิดจากข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตที่ดิน และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ที่มีร่วมกันทางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อน เมื่อไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง และความขัดแย้งได้บานปลายไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ จะก่อให้เกิดผลกระทบกระจายวงกว้างไปทั่วโลก

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์