สนข.ลุยโรดโชว์ 'เอเชีย-ยุโรป' ดึงต่างชาติลงทุนแลนด์บริดจ์
สนข.โชว์โมเดลลงทุน “แลนด์บริดจ์” 1 ล้านล้านบาท ปักธงปี 2567 เริ่มโรดโชว์ต่างชาติกลุ่มสายการเดินเรือ ก่อนเปิดให้ยื่นประมูล เม.ย. 2568 มอบสัมปทาน 50 ปี
นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย (แลนด์บริดจ์) โดยระบุว่า ขณะนี้ สนข.ได้ศึกษาจุดที่ตั้งของการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกบริเวณฝั่งทะเลอันดามัน และอ่าวไทยแล้วเสร็จ ซึ่งจะมีที่ตั้งฝั่งอันดามันอยู่แหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง และฝั่งอ่าวไทยอยู่แหลมริ่ว จังหวัดชุมพร
โครงการพัฒนาแลนด์บริดจ์นอกจากจะก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกเพื่อรองรับสายการเดินเรือขนส่งสินค้าจากทั่วโลกแล้ว ยังมีการพัฒนาโครงการโลจิสติกส์อื่นๆ เพื่อสนับสนุนการขนส่งตู้สินค้าจากท่าเรือทั่งสองแห่ง โดยทางการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะพัฒนาเส้นทางรถไฟทางคู่ ช่วงชุมพร-ระนอง เช่นเดียวกับกรมทางหลวง (ทล.) จะพัฒนาโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ช่วงชุมพร-ระนอง (MR8)
สำหรับการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแลนด์บริดจ์นั้น สนข.ประเมินจะจัดใช้วงเงินรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็น โครงการท่าเรือฝั่งชุมพร 3 แสนล้านบาท โครงการท่าเรือฝั่งระนอง 3.3 แสนล้านบาท โครงการพัฒนาพื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) รวม 1.4 แสนล้านบาท และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ วงเงินราว 2.2 แสนล้านบาท
“ปัจจุบันคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบในหลักการเพื่อให้กระทรวงคมนาคมเดินหน้าพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์และเตรียมโรดโชว์ในต่างประเทศ ส่วนผลการศึกษาขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากต้องเตรียมเข้าพื้นที่โครงการเพื่อประเมินรายละเอียดอีกครั้ง ก่อนจัดทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EHIA) โดยคาดว่าจะเริ่มโรดโชว์ได้ในปีหน้า เป็นการทำงานคู่ขนานระหว่างรอการอนุมัติ EHIA”
นอกจากนี้ สนข.ยังประเมินว่าในปี 2567 จะเป็นการเริ่มต้นขั้นตอนโรดโชว์สอบถามความเห็นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำมาจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (RFP) ก่อนจะเปิดประกาศเชิญชวนนักลงทุนร่วมลงทุนในต้นปี 2568
หลังจากนั้นจะลงนามร่วมทุนกับเอกชนได้ในราวไตรมาส 3 ของปี 2568 ซึ่งเป้าหมายนักลงทุนต่างชาติที่ สนข.ประเมินไว้ในการทำโรดโชว์ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มประเทศที่มีสายการเดินเรือ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน ฝรั่งเศส และเยอรมัน เป็นต้น
สำหรับรูปแบบการลงทุนที่ สนข.ศึกษาไว้ในปัจจุบัน จะเปิดกว้างเอกชนต่างชาติให้ถือหุ้นเกิน 50% ในการร่วมลงทุนพัฒนาโครงการนี้ เนื่องจากโครงการแลนด์บริดจ์มีมูลค่าการลงทุนสูง โดยเอกชนที่เข้ามาลงทุนจะได้รับสัมปทาน 50 ปี ซึ่งประเมินว่าเป็นช่วงสัญญาสัมปทานที่จะจูงใจเอกชนและมีความคุ้มค่าทางการลงทุนน นอกจากนี้ สนข.ประเมินด้วยว่าเพื่อความคล่องตัวทางการลงทุน จะเปิดประมูลรวมสัญญาเดียว เพื่อมอบสิทธิบริหารโครงการให้กับเอกชนทั้งท่าเรือน้ำลึกชุมพร - ระนอง รวมไปถึงมอเตอร์เวย์และโครงการรถไฟ
ทั้งนี้ สนข.มั่นใจว่าปีแรกของการเปิดให้บริการท่าเรือน้ำลึกแลนด์บริดจ์ หรือราวปี 2573 จะมีปริมาณขนส่งสินค้าของทั้ง 2 ฝั่ง ดังนี้
ท่าเรือระนอง จำนวน 19.4 ล้าน ที.อี.ยู แบ่งเป็น
1.สินค้าถ่ายลำ จำนวน 13.6 ล้าน ที.อี.ยู
2.สินค้านำเข้า-ส่งออกของไทย จำนวน 4.6 ล้าน ที.อี.ยู
3.สินค้าจากจีนตอนใต้ และกลุ่ม GMS จำนวน 1.2 ล้าน ที.อี.ยู
ท่าเรือชุมพร ประเมินว่าจะมีสินค้าผ่านท่า จำนวน 13.8 ล้าน ที.อี.ยู แบ่งเป็น
1.สินค้าถ่ายลำ จำนวน 12.2 ล้าน ที.อี.ยู
2.สินค้านำเข้า - ส่งออกของไทย จำนวน 1.4 ล้าน ที.อี.ยู
สินค้าจากจีนตอนใต้ และกลุ่ม GMS จำนวน 2 แสน ที.อี.ยู ส่งผลให้ สนข.วางพัฒนาพัฒนาท่าเรือทั้งสองแห่งให้สามารถรองรับตู้สินค้าสูงสุดได้ 20 ล้าน ที.อี.ยู
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม เผยว่า กรอบดำเนินงานในโครงการแลนด์บริดจ์ตามที่เสนอขออนุมัติจาก ครม.นอกจากจะขออนุมัติโรดโชว์ในต่างประเทศแล้ว ยังรายงานถึงขั้นตอนทางกฎหมาย
ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องจัดทำร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ.... เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่งโครงการแลนด์บริดจ์จะอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยเบื้องต้นคาดการณ์ว่ากฎหมายฉบับนี้จะแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.2567
หลังจากนั้นจะมีการตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนโครงการนี้ ส่วนขั้นตอนการเวนคืนที่ดินจะมีการออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน (พ.ร.ฎ.) ในโครงการจะเริ่มในเดือน ม.ค.2568-ธ.ค.2569
โดยเมื่อกฎหมายและการตั้งสำนักงานเสร็จแล้ว รัฐบาลจะเริ่มเปิดให้มีการยื่นข้อเสนอการลงทุนจากเอกชนในเดือน เม.ย.-มิ.ย.2568 จากนั้นจะเสนอ ครม.เห็นชอบรายชื่อผู้ชนะการประมูลในโครงการภายในเดือน ส.ค.2568 และให้เอกชนที่ชนะการประมูลเริ่มก่อสร้างได้ในเดือน ก.ย.2568 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 5 ปี และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในเดือน ต.ค.2573