'เศรษฐา' ถก 'บอร์ดดิจิทัลวอลเล็ต' ชุดใหญ่สัปดาห์หน้า เคาะเกณฑ์เข้าโครงการ
"เผ่าภูมิ" เผยนายกฯเรียกประชุมบอร์ดดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่สัปดาห์หน้า เคลียร์ทุกประเด็น รวมทั้งเกณฑ์การแจกเงินว่าจะให้กลุ่มใดบ้าง ปัดตอบเริ่มใช้เงินได้ ก.ย.ตามที่ "พิชัย" ระบุหรือไม่
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งเป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยจะมีการประชุมกันในสัปดาห์หน้า แต่ยังไม่ได้ระบุว่าเป็นวันใด
เมื่อถามว่าในเรื่องของเงื่อนไขต่างๆของโครงการนี้ได้ข้อสรุปแล้วทั้งหมดหรือไม่ นายเผ่าภูมิกล่าวว่าคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนกำลังทำงานกันอยู่เพื่อจะนำเรื่องต่างๆเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ในสัปดาห์หน้า ส่วนคณะอนุกรรมการจะมีการประชุมกันในสัปดาห์นี้หรือไม่นั้นตรงนี้ยังไม่แน่นอน
ทั้งนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานจะได้ข้อสรุปทุกเรื่อง รวมทั้งในเรื่องของเกณฑ์ที่จะกำหนดการแจกเงินว่าจะให้กลุ่มใดบ้าง
เมื่อถามต่อว่ากรณีที่ นายพิชัย ชุณหวชิรที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีให้ข่าวว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะสามารถใช้เงินได้ในเดือน ก.ย.ปี2567นั้นถือว่าล่าช้าเกินไปหรือไม่ นายเผ่าภูมิตอบว่าขอให้รอฟังการแถลงที่เป็นข้อสรุปทีเดียว ก่อนที่จะบอกว่าขอตัวเพื่อไปประชุมต่อ
ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ตอบคำถามผู้สื่อข่าวระหว่างเดินกลับตึกไทยคู่ฟ้าว่า กรณีที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ชุดใหญ่ในสัปดาห์หน้าจริงหรือไม่
โดยนายกรัฐมนตรี ตอบกลับว่า “ครับ”
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ดิจิทัลวอลเล็ตว่า ที่ประชุมได้หารือกันในหลายประเด็น แต่ก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน โดยเฉพาะเรื่องกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่มีการเสนอให้ตัดกลุ่มคนรวยออก
สำหรับหลักเกณฑ์การแจก เงินดิจิทัล 10,000 บาท มี 3 แนวทางดังนี้
- กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ใช้ฐานบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน จำนวน 15-16 ล้านคน งบประมาณ 160,000 ล้านบาท
- ตัดกลุ่มคนที่มีรายได้เดือนละ 25,000 บาท และหรือ มีเงินฝากในบัญชี 1 แสนบาท จะเหลือผู้ที่ได้รับสิทธิ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.3 แสนล้านบาท
- ตัดผู้ที่มีรายได้เกินเดือนละ 50,000 บาท และหรือ มีเงินฝากในบัญชี 5 แสนบาท จะเหลือผู้ได้รับสิทธิ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.9 แสนล้านบาท