เปิดทุกเงื่อนไข ดิจิทัลวอลเล็ตเงินเดือนต่ำ 7 หมื่น เงินออมต่ำ 5 แสน รับสิทธิ์
เปิดทุกเงื่อนไขดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เริ่มพ.ค.67 ประชาชนต้องรายได้ต่ำกว่า 7 หมืนบาทต่อเดือน เงินออมต่ำกว่า 5 แสนบาท ร้านค้าต้องอยู่ในระบบภาษีถึงขึ้นเงินได้ หากไม่อยู่ให้หมุนเวียนเงินได้ถึงเม.ย.70 ห้ามใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ - สินค้าอบายมุข
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ว่าที่ประชุมเห็นชอบแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท เป้าหมาย 50 ล้านคน วงเงิน 5 แสนล้านบาท
โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ผ่านการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการออก พ.ร.บ.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท โดยเข้าสู่การประชุมของสภาฯในปี 2567 และอีกส่วนหนึ่งคือการใช้งบประมาณเติมในกองทุนขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายอีก 1 แสนล้านบาท
โดยเงื่อนไขและการดำเนินงานที่สำคัญของโครงการ Digital Wallet 10,000 บาท วงเงินรวม 5 แสนล้านบาท ได้แก่
1.ผู้ที่ได้รับเงิน จำนวน 50 ล้านคน เริ่มใช้เงินในโครงการประมาณเดือน พ.ค.2567
- มีสัญชาติไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป
- มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 7 หมื่นบาท
- มีเงินออมทุกบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท
- ประชาชนไม่สามารถโอนเงินให้ผู้อื่นหรือแลกเงินเป็นเงินสดได้
- ใช้เงินเพื่อซื้อของอุปโภค บริโภคเท่านั้น
2.ระยะเวลา และขอบเขตในการใช้เงิน
- ประชาชนทั่วไปสามารถใช้จ่ายเงินในระยะเวลา 6 เดือน โดยต้องลงทะเบียนก่อนในช่วงเดือน มี.ค.67 เพื่อยืนยันการใช้สิทธิ์
- ร้านค้าให้ใช้จ่ายหมุนเวียนได้จนถึงเดือน เม.ย. 2570
- ใช้งานในรัศมีอำเภอตามที่อยู่ในบัตรประชาชน
3.เงื่อนไขการใช้เงิน
- ไม่สามารถซื้อสินค้าออนไลน์ได้
- ไม่สามารถซื้อของที่เป็นอบายมุข เหล้า สุรา ไพ่
- ไม่สามารถซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด เพชร พลอย ทองคำ อัญมณี
- ไม่สามารถชำระหนี้ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติได้
- ไม่สามารถจ่ายค่าเทอมได้
4.ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ
- ร้านค้าไม่ต้องทำการจด VAT เพื่อรับเงิน
- ร้านค้าที่จะขึ้นเงินต้องอยู่ในระบบภาษี และสามารถใช้เงินดิจิทัลหมุนเวียนต่อเนื่องได้ถึงเดือน เม.ย.2570
- ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องเป็นร้านค้าในประเทศไทย
5.คนที่ไม่ได้รับสิทธิ Digital Wallet 10,000 บาท
นายกรัฐมนตรีระบุว่าสำหรับคนที่ไม่ได้เข้าโครงการ e-Refund ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยให้ใบกำกับภาษี มาประกอบการยื่นภาษีบุคคล และรัฐจะคืนเงินภาษีให้ในปีภาษีถัดไป
สำหรับระยะเวลาในการดำเนินโครงการมีดังนี้
- พ.ย.66 ส่งกฤษฎีกาตีความและดำเนินกระบวนการทางสภา
- ม.ค.67 ทำโครงการ e-Refund
- พ.ค.67 เริ่มโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
- มิ.ย.67 เริ่มโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
ใช้ฐานข้อมูลจากแอพเป๋าตังค์ผสมระบบบล็อกเชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่าการพัฒนาโครงการนี้ใช้ระบบเป๋าตั้งโดยเราจะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตัง ซึ่งมีประชาชนลงทะเบียนอยู่แล้ว 40 ล้านคน และมีร้านค้าที่คุ้นเคยอยู่แล้วกว่า 1.8 ล้านร้านค้า อย่างที่ทุกคนรู้ดี ระบบเป๋าตังมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว ซึ่งจะลดระยะเวลา ประหยัดงบประมาณ และลดความซ้ำซ้อนในการสร้างและดูแลรักษาระบบ กระทรวงการคลังเอง ก็มีความคุ้นเคยในการกำกับดูแลและบริหารจัดการ ป้องกันการทุจริตต่างๆ โดยเราจะพัฒนาต่อยอดระบบเป๋าตัง ให้สามารถทำงานโดยมี Blockchain อยู่ด้านหลังเป็นโครงสร้างพื้นฐาน
ซึ่งระบบ Blockchain จะทำให้รัฐป้องกันการทุจริตได้ และหากมีใครฝ่าฝืนแก้ไข ทุจริต ระบบก็จะสามารถตรวจสอบได้ทันที การมีระบบ Blockchain จะนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและการทำ e-Government ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง สร้างความโปร่งใส ลดการทุจริตได้อย่างเป็นรูปธรรม