'TDRI' ชี้ปัญหาเศรษฐกิจไทย 'ศักยภาพเติบโตต่ำ' นโยบายแจกเงินแก้ปัญหาผิดจุด

'TDRI' ชี้ปัญหาเศรษฐกิจไทย 'ศักยภาพเติบโตต่ำ' นโยบายแจกเงินแก้ปัญหาผิดจุด

‘TDRI’ กางข้อมูลโต้ตัวเลขสติตัวคูนทางการคลังชี้การแจกเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ถึง 1 เท่า ศก.โตเต็ม 1.5% ได้แค่ในปีแรกปีต่อๆไปจะส่งผลต่อจีดีพีแค่ 0.2 – 0.8% ชี้ยากรัฐจะตั้งงบใช้คืนได้หมดใน 4 ปี  “สมเกียรติ” ชี้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยลดต่ำ แจกเงินดิจิทัลไม่แก้ปัญหา

นโยบายดิจิทัลวอลเล็กแจกเงินคนละ 1 หมื่นบาทที่รัฐบาลกำหนดเป้าหมายการแจกเงิน 50 ล้านคนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้ข้อมูลว่าโครงการนี้จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้โดยสร้างการหมุนในระบบเศรษฐกิจของเงิน 5 แสนล้านบาทให้ได้ประมาณ 3.3 เท่า ขณะที่ข้อมูลที่มีการเก็บข้อมูลโครงการรัฐที่เคยแจกเงินมาก่อนหน้านี้โดยสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) เก็บข้อมูล "ตัวคูณทางการคลัง" ไว้ระบุว่าโครงการแจกเงินให้ประชาชนทำให้เงินหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ถึง 1 เท่าและมีผลต่อเศรษฐกิจลดลงเรื่อยๆในปีต่อไป

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในหัวข้อ "Building a Foundation for Exponential Growth" ในงาน  "Thailand Competitiveness Conference 2023 จัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) สาระสำคัญตอนหนึ่งว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลว่าการที่รัฐบาลคาดหวังว่าโครงการนี้จะทำให้เกิดการหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจหลายๆรอบนั้นไม่สามารถคาดหวังได้ เนื่องจากในทางเศรษฐศาสตร์มีการศึกษาแล้วเมื่อใส่เงินเข้าไปในระบบโดยแจกให้ประชาชนไปใช้จ่ายเป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพต่ำ โดยการหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจที่คำนวณจากข้อมูลที่เรียกว่า “ตัวคูณทางการคลัง” ที่มีการเก็บข้อมูลโดยสำนักงบประมาณของรัฐสภา (เผยแพร่ในปี 2564)

ทีดีอาร์ไอชี้แจกเงินประสิทธิภาพกระตุ้นเศรษฐกิจต่ำ

พบว่านโยบายการแจงเงินให้ประชาชนทั่วไปแบบที่รัฐบาลจะทำนี้จะทำให้เงินหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ถึง 1 เท่า ต่างจากการใส่เงินลงไปในระบบเศรษฐกิจด้วยวิธีการอื่นๆ ได้แก่ การใช้จ่ายทางตรงของรัฐที่หมุนในระบบเศรษฐกิจได้ 2 เท่า การจ้างบุคลากรภาครัฐที่หมุนในระบบเศรษฐกิจได้ 2 เท่า การแจกเงินคนจนเฉพาะกลุ่มจะหมุนในระบบเศรษฐกิจได้ 1.4 เท่า ซึ่งมากกว่าการแจกเงินให้กับประชาชนทั่วไปใช้จ่ายโดยตรง

ขณะที่ตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่านโยบายการแจกเงินให้กับประชาชนทั่วไปอาจหมุนในระบบเศรษฐกิจได้เพียง 0.4 เท่าเท่านั้น

เมื่อถามว่าตัวเลขที่รัฐบาลอ้างว่าเม็ดเงินจะหมุนได้ 3.3 เท่านั้นมาอย่างไร เขาตอบว่าไม่มีที่มาที่ไปที่อ้างอิงได้

\'TDRI\' ชี้ปัญหาเศรษฐกิจไทย \'ศักยภาพเติบโตต่ำ\' นโยบายแจกเงินแก้ปัญหาผิดจุด

“ในความเป็นจริงแล้วหากนโยบายการแจกเงินให้กับประชาชนแล้วสามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้ต่อเนื่องทุกประเทศในโลกนี้ก็คงจะทำกันหมดแต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ง่ายแบบนั้น ไม่สามารถจะคาดหวังได้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตแข็งแรงจากนโยบายการแจกเงิน” นายสมเกียรติ กล่าว

เศรษฐกิจไทยเจอปัญหาศักยภาพตกต่ำ

เขากล่าวต่อว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ประมาณ 2.8% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐศาสตร์หลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาศักยภาพในการเติบโตต่ำลง ไม่ใช่ปัญหาการเติบโตของเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าศักยภาพ

ในทางเศรษฐศาสตร์การแก้ปัญหาศักยภาพทางเศรษฐกิจลดลงจะต้องทำในเรื่องของ “อปุทาน” โดยเน้นไปในเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไม่ใช่ใช้นโยบายแก้ปัญหาในด้าน “อุปสงค์” โดยเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น  

ยกทฤษฎีปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 

ทั้งนี้หากรัฐเข้าใจปัญหาที่แท้จริง แนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยจะไม่ใช่การเอาเงินใส่มือคนให้ไปใช้จ่าย แต่ต้องใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของ  ศ.โรเบิร์ต โซโล  ศาสตราจารย์ศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2018   ซึ่งกล่าวว่าการยกระดับการเติบโตโตทางเศรษฐกิจ จะต้องสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยประเทศที่มีความเจริญก้าว หน้าทางเทคโนโลยีสูงกว่า จะมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือรายได้ต่อหัวในระยะยาวที่สูงกว่าที่เน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลิตภาพการผลิตและความสามารถของแรงงานในประเทศนั้นๆ เพื่อสร้างการแข่งขันของประเทศ

ทั้งนี้มองว่าที่ผ่านมาการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายครั้งโดยการแจกเงินเพื่อเพิ่มการบริโภคไม่ช่วยเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจไทย แต่เป็นเพียงแค่นโยบาย “Quick Win” ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นมาได้ในระยะสั้นๆแล้วกลับไปมีปัญหาเหมือนเดิมเพราะปัญหาต่างๆที่อยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ได้ถูกแก้ไข

 

“การทำแค่เรื่อง Quick Win  ของรัฐบาลจะทำให้เราเดินตรงข้ามกับเป้าหมายระยะยาวของประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เรื่องพักหนี้เกษตรกรไม่ได้ช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างภาคเกษตร การลดราคาน้ำมันดีเซล ไม่ได้ช่วยส่งเสริมการลดคาร์บอน การแจกเงินให้คนใช้จ่ายได้ได้ช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ”

 

ขณะที่นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสทีดีอาร์ไอกล่าวว่าในการหาแหล่งเงินของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตโดยที่รัฐบาลเลือกใช้การออก พ.ร.บ.เงินกู้นั้นในแง่ของกระบวนการเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากการออก พ.ร.บ.มีกลไกการกลั่นกรอง ซึ่งต่างจากรูปแบบอื่นๆ ที่อาจจะมีกลไกการตรวจสอบไม่ดีเท่า เช่น การไปกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจ หรือ การขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ หรือในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งมักเป็นการกู้เงินนอกงบประมาณ หรือ แก้ไขหลักเกณฑ์วินัยทางการเงินการคลัง

ส่วนในแง่ที่ว่ารัฐบาลควรจะกู้หรือไม่ อำนาจหน้าที่ในการพิจารณากฎหมายฉบับนี้เป็นของสภาฯเป็นของผู้แทนของประชาชน เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องที่ทางสภาฯจะต้องพิจารณาความเหมาะสมตามกระบวนการในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย ความจำเป็น แหล่งที่มาของเงิน

โดยในมุมมองทางวิชาการ ตนคิดว่าสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจในขณะนี้อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กระสุนทางการคลัง และวิธีการกระตุ้นในรูปแบบการแจกเงินนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพที่ต่ำ นำไปสู่การหมุนเวียนในระดับที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ ขณะที่ในส่วนของการคืนภาษีสำหรับคนที่ไม่ได้รับเงินดิจิทัล จะคล้ายกับโครงการช็อปดีมีคืน ซึ่งมีประสิทธิภาพที่แย่กว่าโครงการแจกเงินดิจิทัลเสียอีก

\'TDRI\' ชี้ปัญหาเศรษฐกิจไทย \'ศักยภาพเติบโตต่ำ\' นโยบายแจกเงินแก้ปัญหาผิดจุด

ดัน GDPเต็มที่1.5%ปีแรก ปีต่อๆผลต่อเศรษฐกิจน้อย 

ทั้งนี้ผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงินนั้นจะลดลงเรื่อยๆหลังจากปีแรกที่มีมาตรการ โดยจากการคำนวณปีแรกจะมีผลช่วยให้จีดีพีขยายตัว 0.6%-1.5% ปีที่ 2 ลดลงเหลือ 0.3%-0.8% ปี 3 เหลือ 0.2 – 0.4%  และ ปีที่ 4 เหลือแค่ 0.1 – 0.2% หรือแทบจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจ โดยการหมุนของเงินดิจิทัลในระบบเศรษฐกิจจะมีผลต่อการขยายตัวของจีดีพี โดยจากการคำนวณพบว่าจะหมุนได้ 0.43-0.94 รอบ ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้จ่าย ร้านค้าที่เข้าโครงการ หรือการกำหนดกลุ่มคนที่จะใช้จ่ายซึ่งจะมีผลต่อการหมุนของเงินในโครงการด้วย

เมื่อถามว่าข้อมูลของรัฐบาลระบุว่าโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 1.5% ทุกปี และจะสามารถใช้หนี้จากการออก พ.ร.บ.นี้ได้ในระยะ 4 ปีของรัฐบาล นายนณริฏ กล่าวว่า โครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจโตเพิ่มได้ 1.5% แค่ปีแรกที่เริ่มโครงการเพียงปีเดียวและต้องมีการใช้จ่ายอย่างเต็มศักยภาพเพราะตัวเลข 1.5% คือเงินต้องหมุนได้ถึงเกือบๆ1 รอบ

ส่วนปีต่อๆไป ผลของโครงการนี้ต่อระบบเศรษฐกิจจะลดลงอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าโครงการนี้ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจโตต่อเนื่องได้1.5% ทุกปี จากที่คำนวณ เต็มที่ก็ได้ปีแรกปีเดียว และจะกระทบต่อการตั้งงบประมาณคืนเงินกู้ในปีต่อๆไปอย่างแน่นอน

“ข้อมูลประสิทธิภาพของของโครงการแจกเงินของรัฐที่จะสร้างผลบวกต่อเศรษฐกิจ กับข้อมูลจากอดีตที่รัฐเคยใช้โครงการลักษณะนี้มาถือว่าแตกต่างกันมากจนน่ากังวลมาก แต่เมื่อรัฐบาลจะออกกฎหมายนี้ก็เป็นเรื่องที่สภาจะต้องพิจารณา ในทางวิชาการเราทำได้แต่ให้ข้อมูล” นายนณริฏ กล่าว