ดีเดย์ 1 พ.ค. 2567 ทุกปั๊มน้ำมัน เหลือหัวจ่ายดีเซลแค่ 2 เกรด
"พลังงาน" เตรียมเสนอ ครม. ลดหัวจ่ายน้ำมันดีเซลเหลือเพียง 2 เกรด "B7-B20" เริ่ม 1 พ.ค.67 เป็นต้นไป หนุนยอดการใช้ไบโอดีเซล (B100) พร้อมลดความสับสนให้กับประชาชนผู้ใช้น้ำมัน ขณะที่ 1 ม.ค.นี้ เดินหน้ายกคุณภาพน้ำมันสู่มาตรฐาน ยูโร 5 คาดใช้เวลาเปลี่ยนครบทุกปั๊ม 4 เดือน
นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า กรมธุรกิจพลังงาน อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อรับทราบแนวทางการปรับลดชนิดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2566 ที่เห็นชอบปรับลดชนิดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เหลือ 2 ชนิด คือ
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาที่เป็นน้ำมันฐานของประเทศจะมีการผสมไบโอดีเซล (B100) อยู่ที่ร้อยละ 7 (B7) ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดที่สามารถใช้กับน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ที่ค่ายรถยนต์ให้การยอมรับและไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์ และให้มีน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (B20) เป็นน้ำมันทางเลือก เริ่ม 1 พ.ค. 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ในการปรับลดชนิดน้ำมันดังกล่าวจะไม่ส่งผลให้ปริมาณการใช้ปาล์มน้ำมันลดลง เนื่องจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปัจจุบันมีสัดส่วนผสมไบโอดีเซลอยู่ที่ 7% อยู่แล้ว โดยมีการใช้ไบโอดีเซลอยู่ที่ 4.33 ล้านลิตรต่อวัน และการใช้น้ำมันปาล์มอยู่ที่ 3.77 ล้านกก.ต่อวัน
โดยคาดว่าในปี 2567 จะมีการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.66 ล้านลิตรต่อวัน และการใช้น้ำมันปาล์มอยู่ที่ 3.88 ล้านกก.ต่อวัน ตามปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้น โดย กพช. ได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการอุปทานน้ำมันปาล์มหากได้รับผลกระทบจากการปรับลดชนิดน้ำมันดีเซลดังกล่าว
นางสาวนันธิกา กล่าวว่า กรมธุรกิจพลังงาน ได้เสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ขยายระยะเวลากำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็ว 3 ชนิด ที่จะต้องสิ้นสุดลงสิ้นเดือนธ.ค. 2566 ออกไปอีก 4 เดือน ถึงสิ้นเดือน เม.ย.2567 ให้เป็นตามเดิม ประกอบด้วยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 ไม่ต่ำกว่า 6.6% และไม่สูงกว่า 7% โดยปริมาตร น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ไม่ต่ำกว่า 6.6% และไม่สูงกว่า 10% โดยปริมาตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 ไม่ต่ำกว่า 6.6% และไม่สูงกว่า 20%
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานีบริการน้ำมันยังมีการจำหน่ายน้ำมันดีเซล 3 ชนิดตามเดิม คือ B7, B10 และ B20 ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2567 จะเหลือเพียง 2 ชนิด คือ B7 และ B20 เท่านั้น เพื่อลดความสับสนให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ ได้กำหนดสัดส่วนผสมน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B7 ไม่ต่ำกว่า 6.6% และไม่สูงกว่า 7% ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 ไม่ต่ำกว่า 19% และไม่สูงกว่า 20%
นางสาวนันธิกา กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่บังคับใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร5 ลดฝุ่น PM2.5 เพื่อสุขภาพของประชาชน รัฐบาลจึงได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหามลพิษ PM 2.5 เป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562 โดย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ซึ่งกำหนดมาตรการป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) จึงได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรฐานไอเสียรถยนต์ใหม่เป็นระดับยูโร 5 และยูโร 6
และมอบให้กระทรวงพลังงาน บังคับใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาตรฐานยูโร 5 (กำมะถันไม่เกิน 10 ppm) โดยจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2567 เป็นต้นไป ซึ่งในเขตกรุงเทพฯ คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 เดือนทางสถานีบริการน้ำมัน จะเปลี่ยนมาจำหน่ายน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 ได้ครบทุกปั๊ม และภายใน 3-4 เดือน ทุกปั๊มทั่วประเทศจะสามารถเปลี่ยนมาจำหน่ายน้ำมันตามมาตรฐานยูโร5 ได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้รถยนต์มั่นใจ น้ำมันมาตรฐานยูโร5 สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ โดยไม่เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ และช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพ โดยจากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ พบว่า รถยนต์มาตรฐานยูโร 3 และรถยนต์มาตรฐานยูโร 4 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้งานมากที่สุดเมื่อใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 5 จะทำให้ฝุ่น PM 2.5 ลดลงถึง 20 – 24% อีกด้วย
ส่วนต้นทุนราคาน้ำมันตามมาตรฐานยูโร5 นั้น ขณะนี้ทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างการหารือกับผู้ประกอบการกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลก่อนหน้านี้ พบว่า กลุ่มโรงกลั่นฯ รายงานว่า ค่าปรับปรุงคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานยูโร5 มีวงเงินลงทุนรวมราว 50,000 ล้านบาท