กองทุนน้ำมันฯ ติดลบ 8 หมื่นล้าน 1 ม.ค. 67 จ่อขยับ 'ดีเซล' 32 บ./ลิตร
กองทุนน้ำมันฯ ติดลบล่าสุด วันที่ 3 สูงขึ้นกว่า 7.8 หมื่นล้าน ตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาท ถึงสิ้นปี 2566 "พลังงาน" เผย หาก "คลัง" ไม่รวมลดภาษีดีเซล จ่อขยับราคาจาก ลิตรละ 29.94 บาท เป็น 31.94 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) รายงานว่า สถานะ กองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 ธ.ค. 2566 ติดลบที่ 78,416 ล้านบาท สูงขึ้นจากปลายเดือน พ.ย. 2566 ที่ติดลบ 77,717 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 32,482 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 45,934 ล้านบาท
ทั้งนี้ บัญชีที่ติดลบมาจากการที่ภาครัฐบาลโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีมาตรการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร รวมถึงตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (ราคาLPG) ภาคครัวเรือนไว้ที่ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม โดยมาตรการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลจะครบกำหนดวันที่ 31 ธ.ค. 2566 นี้ ส่วนการตรึงราคา LPG ได้ต่อระยะเวลาไปอีก 3 เดือน
แหล่งข่าวจาก กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ยังมีเงินไหลเข้าจากการเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันทุกประเภท ยกเว้นผู้ใช้น้ำมันดีเซลที่ต้องนำเงินของกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยราคาไว้ให้ เพื่อให้ราคาขายปัจจุบันอยู่ที่ 29.94 บาทต่อลิตร สำหรับค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์รายวัน ยังถือว่าสูงอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 2-3 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตาม จากการขยายมาตรการตรึงราคาก๊าซ LPG ต่ออีก 3 เดือน และตรึงราคาดีเซลจะส่งผลต่อสถานกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งหากกระทรวงการคลัง ไม่ขยายมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลให้อีก ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2566 นี้ กระทรวงพลังงาน ก็คงจะปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้น 2 บาทต่อลิตร เป็น 31.94 บาทต่อลิตร เพราะไม่ให้กระทบกับสถานกองทุนน้ำมันจนมากเกินไป
สำหรับส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 7 ธ.ค. 2566 สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนัก หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 5.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 4.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก หลังจากมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลจีนลงสู่เชิงลบ จากมีเสถียรภาพ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและวิกฤตการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน
ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการเดินทางเยือนตะวันออกกลางของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส โดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินเดินทางถึงกรุงอาบูดาบี เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เมื่อวานนี้ และได้เดินทางเยือนกรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบียในวันเดียวกัน
ทำเนียบเครมลิน ระบุว่า เรื่องของพลังงานจะเป็นประเด็นหลักในการหารือระหว่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน กับผู้นำ UAE และซาอุดีอาระเบีย หลังจากที่กลุ่มโอเปกพลัสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการกำหนดโควตาการผลิตน้ำมันอย่างเป็นทางการสำหรับไตรมาสแรกของปี 2567 ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยจะให้เป็นการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจของประเทศสมาชิกคิดเป็นจำนวน 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ทั้งนี้ มติดังกล่าวของโอเปกพลัสทำให้ตลาดไม่มั่นใจว่าสมาชิกโอเปกพลัสจะปรับลดกำลังการผลิตตามสัญญาหรือไม่ และจะมีการตรวจสอบอย่างไร