คลังคาดได้คำตอบกฤษฎีกา”ดิจิทัลวอลเล็ต”ทำได้หรือไม่ ไม่เกินต้นปีหน้า
คลังคาดจะได้รับคำตอบเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตทำได้หรือไม่จากคณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่เกินต้นปีหน้า และโครงการนี้จะสามารถเริ่มได้ภายในเดือนพ.ค.67
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังคาดว่า กระทรวงการคลังจะได้รับคำตอบ เรื่องดิจิทัลวอลเล็ตจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่เกินต้นปีหน้า และโครงการนี้จะสามารถเริ่มได้ภายในเดือนพฤษภาคม โดยกระทรวงการคลังได้ส่งคำถามถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมนี้ว่า การดำเนินการกู้เงิน ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และกฎหมายอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้นชอบด้วยกฎหมาย หรือสามารถดำเนินการได้หรือไม่ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 12 จะเป็นผู้วินิจฉัยคำถามของรัฐบาลดังกล่าว ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะใช้เวลาประชุมเพื่อวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวสองสัปดาห์ และคาดว่าต้นปีหน้า คำตอบของคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นนี้จะมาถึงกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐปี 2561 มาตรา 53 ระบุว่า“การกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหาร หนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังกระทําได้ก็แต่โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการ และเฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติ ของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีได้ทัน กฎหมายที่ตราขึ้นตามวรรคหนึ่ง ต้องระบุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน”
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า คำถามของกระทรวงการคลัง ที่ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีการวินิจฉัยนั้น ไม่ได้ถามว่า เศรษฐกิจ จะวิกฤตหรือไม่วิกฤต (ตาม พรบ.วินัยการเงินการคลัง) หรือไม่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่จะวินิจฉัยในประเด็นนี้ แต่คณะกรรมการกฤษฎีกา จะวินิจฉัยตามข้อกฎหมาย
เขากล่าวว่า หากคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบกลับมาแล้วว่าสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ว่าเข้าองค์ประกอบ หรือไม่ และไม่ใช่แค่ว่า เข้าสู่สถานการณ์วิกฤตเท่านั้น แต่รวมถึงสถานการณ์อื่นๆ เช่น การที่สภาพัฒน์แถลงผล GDP ในไตรมาสที่สามของปีนี้ที่ขยายตัวเพียง 1.5 % เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
ส่วนความเป็นห่วงว่า การกู้เงินเพื่อทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะทำให้ระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาลไต่ระดับสูงขึ้นนั้น เขากล่าวว่า หนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้จะ ไม่เกิดทันที่ที่เริ่มโครงการ แต่จะเกิดเมื่อคนที่ได้รับดิจิทัลวอลเล็ตไปแล้ว นำไป cash out เพื่อนำเงินสดออกมา
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า โครงการนี้ จะมีส่วนช่วยทำให้ GDP ของประเทศสูงขึ้น โดยรัฐบาลคาดหวังว่า ภายใน 4 ปีของรัฐบาลชุดนี้ การขยายตัวของ GDP โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5 % ซึ่งหาก GDP ไทยสามารถขยายตัวได้ตามค่าเฉลี่ยดังกล่าว ก็จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาล อยู่ในระดับที่ 60 % ได้ไม่ยาก ทั้งนี้ ณ เดือนตุลาคมนี้ หนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ 62.12 %
ทั้งนี้ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในช่วงรณรงค์หาเสียงของพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบัน โดยสัญญาว่า จะแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตกับคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปทุกคน คนละ 1 หมื่นบาท อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากกระแสวิจารณ์โดยเฉพาะจากนักวิชาการ เห็นว่ามาควรแจกทุกคน แต่ควรแจกเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย ดังนั้นรัฐบาลจึงกำหนดเงื่อนไขการแจกเพิ่มเติมว่า จะให้กับคนที่มีรายได้ต่อเดือนไม่ถึง 7 หมื่นบาท และมีเงินฝากในธนาคารต่ำกว่า 5 แสนบาท จึงจะเข่าเกณฑ์ได้รับเงินดิจิทัลของรัฐบาล