‘จรีพร จารุกรสกุล’ CEO of the Year 2023 มิชชั่นทูเดอะซันเดินหน้าธุรกิจยั่งยืน
“จรีพร จารุกรสกุล” นักธุรกิจแห่งปี ที่เดินหน้าภารกิจสู่ดวงอาทิตย์ ทรานส์ฟอร์มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานสู่การเป็นเทคโนโลยีคอมปานี ผลักดันไทยให้เป็น The World’s Best Investment Destination สำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศทั่วโลก
เศรษฐกิจโลกที่บอบช้ำจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563-2565 ถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความตึงเครียด โดยเฉพาะสงครามการค้าและเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐที่อาจนำไปสู่แนวโน้มการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดคลื่นการย้ายฐานผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของไทย
ในขณะที่แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนกลายเป็นเมกะเทรนด์ที่สำคัญที่ภาครัฐและภาคเอกชนจับมามอง รวมถึงการวางเป้าหมายเพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและ Net Zero
เป็นประจำที่ “กองบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ” จะคัดเลือก “CEO of the Year” หรือ “สุดยอดซีอีโอ” โดยการพิจารณาให้คะแนน 4 ส่วน คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ ESG สัดส่วนคะแนน 30% , การทรานส์ฟอร์มที่เป็นหัวใจสำคัญของการปรับตัวทางธุรกิจ สัดส่วนคะแนน 25% , การพัฒนานวัตกรรมที่ต่อยอดธุรกิจในอนาคต สัดส่วนคะแนน 25% และผลดำเนินงาน สัดส่วนคะแนน 20%
ในปี 2566 “จรีพร จารุกรสกุล” ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ได้รับการคัดเลือกเป็น CEO of the Year 2023
“จรีพร” ขึ้นมารับหน้าที่ประธานกรรมการ เมื่อเดือน ก.พ.2562 โดยขับเคลื่อนการปรับโฉมนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่งของ WHA ให้เป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ พร้อมเดินหน้าการทรานส์ฟอร์มธุรกิจที่จะนำไปสู่การเป็น “เทคคอมพานี” ภายในปี 2567
ภารกิจ “Mission to the Sun” ถูกประกาศเป็นพันธกิจสำคัญของ WHA ในการขับเคลื่อนธุรกิจตั้งแต่ปี 2566-2570 เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมและความต้องการของลูกค้า รวมทั้งสร้างการพัฒนาองค์กรและบุคลากรที่เป็นหัวใจสำคัญขององค์กร
ทั้งนี้ WHA เตรียมการสู่การเป็นเทคคอมปานีภายในปี 2567 ด้วยงบลงทุน 68,500 ล้านบาท ใน 5 ปีข้างหน้า (2566-2570) แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ โลจิสติกส์ 17,000 ล้านบาท, ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ 29,000 ล้านบาท, WHAUP 18,500 ล้านบาท และดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล 4,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศพันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ที่มุ่งมั่นในการเป็นผู้สร้างความเจริญ สร้างอาชีพ และรายได้ให้ผู้คนและสังคมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สู่เป้าหมายสูงสุด คือ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจของไทย
ด้วยศักยภาพจากระบบอีโคซิสเต็มที่ครบวงจรและแข็งแกร่งของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ที่สนับสนุนให้ต่อยอดพัฒนาโซลูชันทางธุรกิจ และอุตสาหกรรม รวมทั้งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และผลักดันให้ไทยเป็น The World’s Best Investment Destination สำหรับนักลงทุนทั่วโลก
“การขับเคลื่อนธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับทั้ง 3 มิติไปพร้อมกัน ทั้งมิติสังคม ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ สิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ซึ่งการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนคือ ธุรกิจโมเดลใหม่ที่จะทำให้ไทยแข่งขันกับประเทศอื่นได้” จรีพร กล่าว
WHA ตั้งเป้าขับเคลื่อนความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2050 การพัฒนาธุรกิจที่เน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น พลังงานสะอาด การทำโครงการ Circular Economy เพื่อให้สอดคล้องนโยบาย BCG ของประเทศ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมควบคุมสิ่งแวดล้อมในแนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart Eco Industrial Estate)
ปัจจุบันมี 3 โครงการ ที่คืบหน้าเป็นรูปธรรม ได้แก่
Green Logistics เป็นการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้กับกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ เพื่อให้เกิดการใช้พลังงาน และทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ประเทศระยะยาว
Digital Health Tech การพัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit เป็นเครื่องมือดูแลด้านสุขภาพผ่านระบบดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้สมัครใช้บริการ สามารถจัดการสุขภาพแบบองค์รวมได้ง่ายขึ้น
Circular Economy การซื้อขายแลกเปลี่ยนวัสดุเหลือใช้จากผู้ประกอบการหนึ่งไปยังผู้ประกอบการหนึ่ง เพื่อจัดการวัสดุเหลือใช้ได้มีประสิทธิภาพขึ้น
รวมทั้ง WHA Emission Trading จะเป็นตัวกลางในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพื่อเป็นโซลูชันที่ส่งเสริมการลดปริมาณคาร์บอนในอุตสาหกรรม โดยมองเห็นโอกาสที่จะทำให้เป็นธุรกิจสีเขียวมากขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2566 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร 8,434 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,012 ล้านบาท โดยหากพิจารณาผลประกอบการปกติมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 8,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% และกำไรปกติ 1,932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% (YoY) ซึ่งสอดรับกระแสการย้ายหรือขยายฐานการลงทุนและฐานการผลิตที่ดึงเข้ามาลงทุนระยะยาว ส่งผลให้ภาคการลงทุนในประเทศและต่างประเทศกลับมาคึกคักอีก
"มั่นใจว่ารายได้และกำไรปี 2566 จะเติบโต 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 15,800 ล้านบาท ทำ All Time High อีกครั้ง เป็นสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สะท้อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของธุรกิจ 4 กลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่เหนือความคาดหมายทำให้เพิ่มเป้าหมายการดำเนินงานปีนี้สูงขึ้น ซึ่งปรับเป้ายอดขายที่ดินรวมในไทยและเวียดนามจาก 1,750 ไร่ ที่เคยประกาศเมื่อต้นปี เป็น 2,750 ไร่”
นอกจากนี้ แผนขับเคลื่อนธุรกิจที่พัฒนาเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ส่งผลให้ได้รับคัดเลือกเป็นบริษัทจดทะเบียนที่เป็นหุ้นยั่งยืน หรือ THSI (Thailand Sustainability Investment) ติดต่อกัน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2565 สะท้อนการดำเนินธุรกิจที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล (Environment, Social and Governance : ESG)
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เปลี่ยนชื่อหุ้นยั่งยืน THSI เป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings โดย WHA ได้รับประเมินปี 2566 ที่ระดับ “AAA” ซึ่งเป็นระดับสูงสุด และเป็นการติดรายชื่อหุ้นยั่งยืน 4 ปี ติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ทั้งในมิติการจัดการความเสี่ยงและโอกาส ศักยภาพในการแข่งขัน และการได้รับการยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับความสามารถในการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
จรีพร กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทยังมีดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจากับนักลงทุนต่างประเทศต่อเนื่อง ทั้งจากจีนที่ทะลักเข้ามา ญี่ปุ่นที่เริ่มกลับมา รวมถึงสหรัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่จะตามเข้ามา อีกทั้งยังมีกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และคอนซูเมอร์ที่ยังดีต่อเนื่อง
“การเดินทางไปเชิญชวนนักลงทุนเชิงรุกโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำคณะ สร้างความเชื่อมั่นให้กลุ่มบริษัทระดับโลก ซึ่งเอกชนยืนยันว่ามีความพร้อมที่จะรับการลงทุนใหม่แน่นอน”
ทั้งนี้ความท้าทายหลักของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า การดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ให้ไหลเข้ามาในไทยมากที่สุด กระตุ้นการลงทุนในตลาดทุนไทย การดูแลเศรษฐกิจรากหญ้า โดยเฉพาะเรื่องหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงกว่ 90% รวมถึงการช่วยเหลือรายย่อยและเอสเอ็มอีให้เติบโตได้