'พลังงาน' เร่งคำนวนหน้าโรงกลั่น ราคา 'ยูโร5' รับแผนเปลี่ยนผ่าน

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากกรณีที่คณะรัฐมนตรีมี (ครม.) เห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)” โดยมุ่งปรับปรุงคุณภาพน้ำมันในกลุ่มน้ำมันเบนซิน – แก็สโซฮอล์ และกลุ่มดีเซล ให้เป็นมาตรฐาน ยูโร 5 ตามแผนปฏิบัติการวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง”เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2562

และได้กำหนดยกระดับมาตรฐานคุณภาพน้ำมันจากระดับยูโร 4 ให้เป็นยูโร 5 โดยปรับลดกำมะถันจากไม่สูงกว่า 50 เป็นไม่สูงกว่า 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมให้มีผลในวันที่ 1 ม.ค. 2567

อย่างไรก็ตาม  นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ทำหนังสือลงวันที่ 28 ธ.ค.2566 ถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอความกรุณาปรับราคาหน้าโรงกลั่นจากการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรฐานน้ำมันยูโร 5

ต้นทุนเพิ่ม5หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท. ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดการบังดับใช้มาตรฐานน้ำมันยูโร 5 โดยลงทุนปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิต ซึ่งใช้เงินลงทุนรวม 50,000 ล้านบาท และเร่งดำเนินการให้เสร็จภายใน 4 ปีนับตั้งแต่วันที่ประกาศ

“รมว.เข้าใจถึงภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และมอบหมายให้นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ประธานที่ปรึกษาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอยู่ ซึ่งในเรื่องนี้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จะต้องออกประกาศ ซึ่งเข้าใจว่าสนพ. ก็น่าจะมีการดำเนินการมาแล้วเป็นปี ๆ แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลจึงต้องมีการให้รมว.เป็นผู้ตัดสินใจอีกครั้ง”

ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า เมื่อกลุ่มโรงกลั่นมีต้นทุน และเชื่อว่าแต่ละโรงกลั่นก็มีต้นทุนโดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ต่างกัน การจะปรับขึ้นราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 5 ก็อาจจะมีราคาไม่เท่ากันหรือเปล่า อันนี้อยู่ที่ทีมที่ปรึกษารัฐมนตรีพลังงานจะคำนวณ เพราะแต่ละโรงกลั่นมีข้อมูลตัวเลขการลงทุนที่ชัดเจนอยู่แล้ว

จับตาแผนรื้อโครงสร้างพลังงาน

นอกจากนี้ จากการที่นายพีระพันธุ์ ประกาศจะรื้อโครงสร้างราคาพลังงานทั้งราคาค่าไฟฟ้า และน้ำมัน การพิจารณาราคาน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 5 อาจจะไปอยู่ในโครงสร้างใหม่ของแผนดังกล่าว ดังนั้น ในช่วงนี้สถานีบริการน้ำมันจะต้องทำการตลาดกันไปเองก่อน

“หากรมว.ทำตัวเลขเสร็จสิ้นแล้ว ตามขั้นตอนก็จะมีการนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) อนุมัติก่อนประกาศออกมาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วนตัวมองว่าราคาที่จะปรับก็น่าจะไม่ถึง 1 บาทต่อลิตรแน่นอน”

รายงานข่าวระบุว่า หนังสือที่กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท.ได้ดำเนินการจนพร้อมจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปชนิดมาตรฐานยูโร 5 เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2567 มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการผลิตที่สูงกว่าการผลิตมาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ในปัจจุบัน ประกอบด้วย

1.การลงทุนและการปรับปรุงระบบการกลั่น 2.การปรับชนิดของน้ำมันดิบเป็นชนิดกำมะถันต่ำเพื่อเข้าสู่กระบวนการกลั่น

ดังนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท.จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ตามเงื่อนไขและกลไกตลาด และขอความอนุเคราะห์ให้พิจารณาปรับราคาน้ำมันที่สะท้อนตามมาตรฐานและคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับตลาดน้ำมันในภูมิภาคที่เชื่อมโยงกับตลาดโลกต่อไป

กองทุนอนุรักษ์ฯใช้เงินผิดประเภท

นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก “กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” ในกลุ่มงานส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเศรษฐกิจฐานรากโครงการระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตร สำหรับบ่อบาดาล ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนออาจนำไปสู่การทุจริตและประพฤติมิชอบ ดังนี้

1.การจัดสรรงบประมาณ 2.การยื่นขอโครงการต่อกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 3.การจัดซื้อจัดจ้าง 4.กรรมสิทธิ์และการบำรุงรักษา 5.การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินและความคุ้มค่า 6.การติดตามและประเมินผลโครงการ และ 7.การเปิดเผยข้อมูลโครงการเพื่อให้เกิดความโปร่งใส

ทั้งนี้ ครม.มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้สรุปผลการพิจารณาส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน

รายงานข่าวแจ้งว่า นายพีระพันธุ์ได้ยกมือขึ้นและกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ต้องใช้เวลาถึง 30 วัน เพราะคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้แล้วเบื้องต้นพบว่ากองทุนอนุรักษ์พลังงานมีลักษณะการใช้เงินผิดประเภทอยู่