ศึกชิง CEO ปตท.ระอุ 5 ผู้สมัคร เสนอตัวคุมองค์กรสินทรัพย์ 3.5 ล้านล้าน

ศึกชิง CEO ปตท.ระอุ 5 ผู้สมัคร เสนอตัวคุมองค์กรสินทรัพย์ 3.5 ล้านล้าน

5 ลูกหม้อ ปตท. สมัครชิงเก้าอี้ CEO คนที่ 11 “คงกระพันธุ์-บุรณิน-ม.ล.ปีกทอง-พงษ์พันธุ์-วรวัฒน์” สัมภาษณ์ 17 ม.ค.นี้ ชี้ผลงานแน่นทั้ง 5 คน คุมบริหารองค์กรสินทรัพย์ 3.5 ล้านล้าน แผนลงทุน 5 ปี กว่า 8.9 หมื่นล้าน ต่อยอดธุรกิจก๊าซ ดันธุรกิจใหม่ “อีวี-ไลฟ์สไตล์” เร่งลดปล่อยคาร์บอน

บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กำลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านสำคัญ โดยได้ประกาศสรรหาประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.คนที่ 11 และได้ปิดรับสมัครไปเมื่อวันที่ 3 ม.ค.2567 เพื่อแทนนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.ที่จะวาระ 4 ปี ในเดือน พ.ค.2567 

สำหรับการสรรหาจะต้องดำเนินการก่อนครบวาระ 6 เดือน โดยผู้เข้ารับการสรรหาจะต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่เกิน 58 ปีบริบูรณ์ในวันยื่นใบสมัคร, มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ รวมถึงมีวิสัยทัศน์ทางด้านธุรกิจพลังงาน ปิโตรเลียม ปิโตรเคมี รวมถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่อง มีความรอบรู้และประสบการณ์ในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ และคณะกรรมการสรรหาจะนัดสัมภาษณ์ในวันที่ 17 ม.ค.2567

รายงานข่าวจาก ปตท.ระบุว่า การสมัครครั้งนี้มีผู้ยื่นสมัครมี 4 คน ประกอบด้วย 

1.นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC 

2.นายบุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) 

3.ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) 

4.นายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ รองกรรมการผู้ จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)

5. นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC

แหล่งข่าววงการพลังงาน กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาในแวดวงพลังงานได้มีการพูดถึงการสรรหาซีอีโอ ปตท.คนใหม่ ทั้งภายในและภายนอก ปตท.รวมถึงภายในกระทรวงพลังงานในฐานะที่ ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ โดยมีการกล่าวถึงผู้สมัครหลายคนที่ปรากฎชื่อออกมา

รวมทั้งผู้ที่จะเข้ามาบริหาร ปตท.ได้ต้องกล้าตัดสินใจ เพราะ ปตท.ถือเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน โดยกระทรวงการการคลังถือหุ้น 51% ดำเนินธุรกิจเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ มีรายได้ปี 2565 กว่า 3 ล้านล้านบาท ดังนั้น การบริหารงานภายใต้รัฐบาลจึงต้องมีข้อจำกัดและแรงกดดันสูง

“เท่าที่ดูรายชื่อทั้งบุคคลภายในระดับรองซีอีโอ และซีอีโอบริษัทลูก ปตท.ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความรู้ความสามารถทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้นั่งบริหารบริษัทใหญ่ของกลุ่ม ปตท.ได้"

ทั้งนี้ หากดูผลงานของผู้สมัครซีอีโอทั้ง 4 ราย พบว่า

1.นายคงกระพัน อินทรแจ้ง นอกจากเป็นซีอีโอของ GC แล้วยังเป็นประธานกรรมการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) รวมทั้งเคยเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประจำประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท.

ศึกชิง CEO ปตท.ระอุ 5 ผู้สมัคร เสนอตัวคุมองค์กรสินทรัพย์ 3.5 ล้านล้าน

นอกจากนี้ได้ผลักดันให้ GC เป็นบริษัทข้ามชาติด้านพลังงานของไทย ซึ่งติดอันดับ Fortune Global 500 และเมื่อปี 2564 ได้ลงทุน 140,000 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการ Allnex Holding GmbH เพื่อต่อยอดธุรกิจของ GC โดยเฉพาะเพิ่มความหลากหลายของเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ และสร้างความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์ รวมถึงต่อยอดตลาดเอเชียแปซิฟิกและตลาดเกิดใหม่

รวมทั้งได้ผลักดันการลดคาร์บอน โดยจะปรับพอร์ตการดำเนินธุรกิจเพื่อลดปริมาณคาร์บอน 25% และปรับปรุงโรงงานโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี CCS เพื่อกักเก็บปริมาณคาร์บอน ตั้งเป้าการเป็น Together to Net Zero ภายในปี 2050

2.นายบุรณิน รัตนสมบัติ โดยที่ผ่านมาเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กรนวัตกรรมและความยั่งยืน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ก่อนขยับเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายบริษัท ปตท.

ศึกชิง CEO ปตท.ระอุ 5 ผู้สมัคร เสนอตัวคุมองค์กรสินทรัพย์ 3.5 ล้านล้าน

สำหรับภารกิจธุรกิจใหม่ของ ปตท.ดูแล อาทิ ธุรกิจ Life Science, ธุรกิจ High Value Business ธุรกิจ Logistics & Infrastructure ธุรกิจ AI, Robotics & Digitalization เพื่อสร้างอีโคซิสเต็ม

พร้อมกับตั้ง บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ขึ้นมาเพื่อเดินหน้าธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรกับฟ็อกซ์คอนน์ ในการตั้ง บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด เพื่อเดินหน้าธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร พร้อมศึกษาโอกาสในการพัฒนาฐานการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานในไทยและจะเริ่มการผลิตรถอีวีในช่วงปี 2567

3.ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ก่อนที่จะมาดูแลกลุ่มธุรกิจก๊าซ เคยเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายของ ปตท.มาก่อน โดยช่วงที่ดูแลหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติได้ขับเคลื่อนธุรกิจก๊าซเพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจและการดูแลค่าครองชีพ ซึ่งสนับสนุนการขยายระยะเวลาการช่วยเหลือราคา NGV สำหรับผู้มีบัตรสิทธิประโยชน์ของรถแท็กซี่ รถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุก 

ศึกชิง CEO ปตท.ระอุ 5 ผู้สมัคร เสนอตัวคุมองค์กรสินทรัพย์ 3.5 ล้านล้าน

รวมทั้งได้ผลักดันแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงาน เพื่อขยายตลาดเอนเนอร์ยี่โซลูชั่นส์ในไทยด้วยเทคโนโลยี Advanced Energy Intelligence Platform เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย และตอบสนองนโยบายภาครัฐตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

4.นายพงษ์พันธุ์ อมรวิวัฒน์ เป็นผู้บริหารที่เติบโตในบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) จนขึ้นมาเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านกลยุทธ์องค์กร ไทยออยล์ ก่อนที่ข้ามมาเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท.

ศึกชิง CEO ปตท.ระอุ 5 ผู้สมัคร เสนอตัวคุมองค์กรสินทรัพย์ 3.5 ล้านล้าน

ทั้งนี้ ได้ผลักดันหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ปตท.เป็นผู้นำในการพัฒนาและมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจการค้าคาร์บอนเครดิต ทั้งในรูปแบบ Over The Counter และตลาด Exchange ทำให้สามารถเข้าถึงและขยายขอบเขตการค้าคาร์บอนเครดิตได้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้ได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับในระดับสากล

5. นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและดิจิทัล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และร่วมงานกับกลุ่ม ปตท.มากกว่า 20 ปี เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ แผนกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. 

ศึกชิง CEO ปตท.ระอุ 5 ผู้สมัคร เสนอตัวคุมองค์กรสินทรัพย์ 3.5 ล้านล้าน

GPSC ได้ขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจในบริษัท Avaada Energy Private Limited (AEPL) ให้ครอบคลุมธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (BESS) และเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น 42.93% ใน AEPL  เป็นเงิน 8,625 ล้านบาท การเข้าร่วมทุนดังกล่าวจะต่อการขยายสัดส่วนกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนของ GPSC ให้เป็นตามเป้าหมายมากกว่า 50% ปี 2573 โดย GPSC มีการร่วมลงทุนกับอวาด้ามูลค่า 779 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2564 

ปัจจุบัน GPSC มีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 3,629 เมกะวัตต์ คิดเป็น 45% ของกำลังการผลิตรวม โดยตั้งเป้าปี 2030 จะมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนที่ 12 กิกะว้ตต์ ถือเป็นไปตามยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานเพื่อความยั่งยืน ก้าวสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทนวัตกรรมผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ซีอีโอใหม่คุมลงทุน 8.9 หมื่นล้าน

นอกจากนี้ซีอีโอ ปตท.จะเข้ามาบริหารองค์กรที่มีสินทรัพย์รวม 3.53 ล้านล้านบาท โดยผลดำเนินการในช่วง 9 เดือน แรกของปี 2566 มีรายได้รวม 2.35 ล้านล้านบาท กำไรสุทธิ 79,258 ล้านบาท 

ในขณะที่แผนการลงทุนช่วง 5 ปี (2567-2571) ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ปตท.วันที่ 21 ธ.ค.2566 ครอบคลุมการของลงทุนของ ปตท.และบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% วงเงินรวม 89,203 ล้านบาท ผ่านใน 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย

1.ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ วงเงินลงทุนรวม 30,636 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 34% ของงบลงทุนรวม 

2.ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ วงเงินลงทุนรวม 14,934 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 17% ของงบลงทุนรวม 

3.ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย วงเงินลงทุนรวม 3,022 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 4% ของงบลงทุนรวม

4.ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานและสำนักงานใหญ่ วงเงินลงทุนรวม 12,789 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 14% ของงบลงทุนรวม 5.การลงทุนในบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% วงเงินลงทุนรวม 27,822 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 31% ของวงเงินลงทุนรวม

สำหรับแผนการลงทุนดังกล่าวรองรับการลงทุนธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนของงบการลงทุน 5 ปี ประมาณ 51% โดยมีโครงการหลัก อาทิ โรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 เพื่อทดแทนโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 1 และโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่8 รวมทั้งโครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง-โรงไฟฟ้าพระนครใต้ และโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5

เร่งดันลงทุน“อีวี-แบตเตอรี่”

รวมทั้งเพื่อให้การลงทุนสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. “Powering life with future energy and beyond” ยังได้ลงทุนในธุรกิจใหม่ผ่านบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้น 100% อาทิ โครงการลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร เช่น โครงการ EVme ซึ่งให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการใช้รถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Horizon Plus โครงการการลงทุนในธุรกิจโรงงานประกอบแบตเตอรี่โดยใช้เทคโนโลยี Cell- To-Pack (CTP) รวมถึงโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3

นอกจากนี้ ปตท.เตรียมงบลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างหาโอกาสลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ระยะ 5 ปี ข้างหน้า 106,932 ล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน อาทิ ขยายการลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นพลังงานเปลี่ยนผ่าน (Transition Fuel) โดยมุ่งเน้นการขยายโครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติและการขยายการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลวอย่างครบวงจร (LNG Value Chain) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

รวมทั้งการขยายการลงทุนของธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายในการสร้างถังเก็บผลิตภัณฑ์ รวมถึงมุ่งเน้นธุรกิจพลังงานสะอาดเพื่อไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ อาทิ การลงทุนในธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ (Life science

รวมถึงธุรกิจยา ธุรกิจโภชนาการและอุปกรณ์และการวินิจฉัยทางการแพทย์ธุรกิจ AI & Robotics เพื่อเป้าหมายการเป็นผู้นำการให้บริการด้าน AI & Robotics ในอนาคต ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานโดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายขนส่งทั้งหมดของประเทศ