‘เศรษฐา’ มอบนโยบายทำงบประมาณปี 68 ผุดไอเดียไทยฮับการเงินภูมิภาค ดัน GDP 5%

‘เศรษฐา’ มอบนโยบายทำงบประมาณปี 68  ผุดไอเดียไทยฮับการเงินภูมิภาค ดัน GDP 5%

"เศรษฐา" มอบนโยบายจัดทำงบประมาณปี 68 3.59 ล้านล้านบาท มุ่งนโยบายจัดสรรงบประมาณตอบโจทย์นโยบายเร่งด่วนรัฐบาล สร้างการเติบโตเศรษฐกิจประเทศ ตั้งเป้าจีดีพีโต 5% ในเวลา 4 ปีที่เป็นรัฐบาล เพิ่มรายได้เกษตร 3 เท่า ผุดไอเดียร์หนุนฮับการเงิน - ฟินเทค ภูมิภาค บูมเศรษฐกิจ - ลงทุน

วันนี้ (12 ม.ค.) เวลา 14.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง  เป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568  กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย  3.591 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 6.92 แสนล้านบาท และประมาณการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลอยู่ที่ 2.899 ล้านล้านบาท  

โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งในการมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณว่าการจัดทำนโยบายรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 เป็นการจัดทำงบประมาณต่อเนื่องจากปี 2567 โดยการจัดทำงบประมาณรายจ่ายและมุ่งไปที่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจการดึงดูดนักลงทุนการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศ การเพิ่มรายได้ขยายโอกาสการลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนดูแลคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนและคุณภาพชีวิตประชาชนชาวไทยทุกคน

โดยนโยบายทั้งหมดของรัฐบาลที่กล่าวไปนั้น จะต้องอาศัยการทำงานบูรณาการกัน เป็นอย่างมาก มีความเชื่อมโยงหลายส่วนการจัดทำงบประมาณ จะต้องขอให้สำนักงบประมาณช่วยคอยดูทั้งตัวชี้วัดงบประมาณที่ขอ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และต้องดูรายละเอียดเนื้อหาให้ถี่ถ้วนด้วยว่าตอบโจทย์ของรัฐบาลหรือไม่

ในปีงบประมาณ 2568 จะเป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่องจากปี 2567 โดยช่วงเวลาการทำงานจะทับซ้อนกัน จึงขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้ความร่วมมือในการดำเนินการ เพื่อผลักดันให้การจัดทำงบประมาณตอบโจทย์ความต้องการและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด และเพื่อให้หน่วยงานสามารถจัดทำคำของบประมาณที่สอดคล้องกับจุดเน้นตาม นโยบายของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวน 142 ประเด็น สำนักงบประมาณ จึงอยู่ระหว่างดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อ ปรับปรุงปฏิทินงบประมาณ โดยขยายระยะเวลาการจัดส่งคำขอได้ถึงวันที่ 2 ก.พ.นี้

‘เศรษฐา’ มอบนโยบายทำงบประมาณปี 68  ผุดไอเดียไทยฮับการเงินภูมิภาค ดัน GDP 5%

 ในช่วงเวลา 4 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่ประเทศเผชิญความท้าทายมีปัญหาการส่งออกในการชะลอตัวความสามารถในการแข่งขันลดลง ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่มีความไม่แน่นอนสูงการรับมือกับผลกระทบต่างๆทั้งมลพิษและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นการเปลี่ยนแปลงพูมิอากาศการเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจและสังคมการมุ่งไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ  การเรียนปัญหาสุขภาพ ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องของการรักษาพยาบาลของประชาชนเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยปัญหาสวัสดิการภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นภาระการเงินการคลังของประเทศในกลุ่มเปราะบางที่ตกหล่น มีภาระหนี้ของทางภาครัฐและเอกชนพุ่งสูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงขึ้นการจัดเก็บรายได้ของรัฐเมื่อเทียบกับจีดีพีที่ลดลง

ชี้รายได้ไทยเฉลี่ยต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน

นอกจากนี้ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำที่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นซึ่งกระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรคนไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย เราต่ำกว่าเขาโดยตลอดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศแทบไม่ขยับแรงงานจำนวนมากอยู่ในภาคเกษตรที่มีผลิตภาพต่ำและประสบปัญหาสังคมสูงวัยขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกินเข้าไม่ถึงระบบชลประทานและแหล่งน้ำครัวเรือนเกษตรติดกับดักหนี้ ที่มีศักยภาพที่จะชำระได้แต่ยังไม่ได้

รวมทั้งใช้เทคโนโลยีในนวัตกรรมในการผลิตในการช่วยสร้างมูลค่าและลดปัญหาสิ่งแวดล้อมปัญหาพีเอ็ม 2.5 โดยเฉพาะในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงต้นปีและปลายปี ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งและฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานในหลายหลายพื้นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมปัญหาเหล่านี้ต้องการการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

“นโยบายที่ดำเนินการภายใต้รัฐบาลนี้ต้องจับต้องได้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้ประชาชนสบายใจได้ว่าภาษีของเขาถูกใช้ในการสร้างประโยชน์ให้กับประเทศ”

มั่นใจ 4 ปีจีดีพีโตเฉลี่ย 5% 

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่าในเรื่องเศรษฐกิจนั้นแม้ว่าสี่เดือนที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินนโยบายหลากหลายประการภายใต้นโยบายไปพรางก่อนโดยบางนโยบายต้องใช้งบประมาณซึ่งนโยบายเศรษฐกิจนั้นครอบคลุมแปดกลุ่มย่อย ได้แก่ นโยบายพลังงาน เกษตร การท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน การดึงดูดการลงทุน การทูตเชิงรุกและการค้าชายแดน ซอฟต์พาวเวอร์ และค่าแรงขั้นต่ำ โดยเป้าหมายอย่างชัดเจนเหมือนเดิมคือเศรษฐกิจของประเทศไทยจะต้องเติบโตเฉลี่ยตลอดสี่ปี 5% ให้ได้  

ดันการท่องเที่ยวคู่ศูนย์กลางการเงิน

โดยด้านการท่องเที่ยวถือเป็นเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ และรัฐบาลมีเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท มุ่งให้ไทยเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เรื่องที่ดำเนินการไปแล้ว คือ วีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีน คาซัคสถาน อินเดีย ไต้หวัน และขยายเวลาสำหรับชาวรัสเซีย ซึ่งก็ทำให้เราก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยกว่า 24 ล้านคน

รวมทั้งนำจุดเด่นของแต่ละพื้นที่มาใช้ดึงดูดนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น Hardware เช่น สถานที่ วัฒนธรรม อาหาร หรือเป็น Software ที่ตนใช้เรียกการจัดกิจกรรม Festival หรือ Event ต่างๆ ที่ประกอบกันเป็น Soft Power ของแต่ละพื้นที่ และต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจมากขึ้น ให้มีการใช้สถานที่จัดประชุม เป็นเจ้าภาพแสดงสินค้า งานเทศกาลระดับโลก ในประเทศไทยให้ได้ เช่นเดียวกับนโยบายการเป็นศูนย์กลางการเงิน ของภูมิภาคที่จะสร้างการเชื่อมโยงการลงทุนทั้งภาคการเงิน และฟินเทคนระดับโลกที่จะเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยเพิ่มขึ้น

 

"ผมเองตั้งใจที่จะผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค ที่ธนาคารนานาชาติ นักลงทุนสถาบัน บริษัท Fintech กองทุนระดับโลก และกองทุนของคนไทย สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้รอยต่อ เชื้อเชิญให้นักลงทุนเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทย โดยเปิดให้บริการกับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เราจำเป็นต้องปลดล็อคกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรค เปลี่ยนบทบาทของรัฐจากอุปสรรคให้เป็นรัฐสนับสนุน ฟื้นฟูระบบนิติธรรมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และมอบสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมแก่สถาบันต่าง ๆ  หากเราสามารถดึงสถาบันต่าง ๆ มาได้ ประเทศไทยจะมีเม็ดเงินสะพัดมหาศาล ประชาชน บริษัทของคนไทย ก็จะสามารถเข้าถึงบริการ ทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้นได้" นายกรัฐมนตรี กล่าว 

ดันแลนด์บริดจ์จ้างงาน สร้างเศรษฐกิจเติบโต 

นายเศรษฐา กล่าวว่าในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางถนน ทางรางทางน้ำ และทางอากาศ และอีกหนึ่งโครงการที่ขอให้ความสำคัญ คือโครงการ แลนด์บริดจ์ ที่ใช้จุดแข็ง ของสภาพภูมิศาสตร์ที่เชื่อมทั้งสองฝั่งของมหาสมุทร เปิดประตูการค้าสองฝั่งมหาสมุทรทางภาคใต้ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง การค้าและคมนาคมที่สำคัญ เสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเราจะ เสริมความแข็งแกร่งของการขนส่งผ่านช่องแคบมะละกาและคาดว่าจะสร้างงาน 280,000 ตำแหน่ง คาด GDP โตขึ้นปีละ 5.5% โครงการนี้มีประโยชน์ต่อประเทศมหาศาล และตนขอให้ทุกท่านช่วยกันสนับสนุน ผลักดันไปด้วยกัน

“จากนโยบายด้านเศรษฐกิจทั้งหมด ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยว การค้า การลงทุนการต่างประเทศ Soft Power โครงสร้างพื้นฐานต่างๆอีกส่วนนึงที่อยากผลักดัน คือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สำเร็จ มั่นใจว่าคนไทยเรามีฝีมือ มีทักษะ และพร้อมจะเรียนรู้ เป้าหมายของตน ยังชัดเจน ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ปริญญาตรี 25,000 ภายในปี 2570 โดยปีนี้จะต้องทำ ค่าแรงขั้นต่ำให้มากกว่า 400 บาทให้ได้”

นอกจากนี้ในเรื่องปัญหายาเสพติด รัฐบาลนี้จะปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติดให้หมดไปจากสังคมไทย โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมาย ยึดทรัพย์ และดำเนินการเจรจาทางการทูตกับประเทศตามแนวชายแดน เพื่อควบคุมการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในประเทศควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในเด็ก เยาวชน ผู้ใช้แรงงาน สำหรับความเป็นอยู่ของประชาชนจะต้องได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ในตลอดสมัยของรัฐบาลนี้ ทั้งรถไฟฟ้า น้ำประปา และสิ่งแวดล้อม อากาศสะอาด ด้านค่าโดยสารรถไฟฟ้าของประชาชน

รัฐบาลมีนโยบายที่จะทำ “20 บาทตลอดสาย” ให้สำเร็จ ในปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีแดง ก็เหลือ 20 บาทแล้ว ทางกระทรวง คมนาคมก็จะเดินหน้าพัฒนาระบบ Feeder ที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าทั้งสองสายให้มากขึ้น และเราจะต้องเดินหน้าทำส่วนอื่นให้สำเร็จ เพื่อทำให้ 20 บาทตลอดสายเกิดขึ้นได้จริงสำหรับประชาชนครับ ขณะที่ด้านกองทัพ รัฐบาลจะสนับสนุนการปรับโครงสร้างของหน่วยงานด้านความมั่นคงให้มีความทันสมัย สามารถตอบสนองต่อการคุกคามและภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ๆ ได้ทุกมิติ

พัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศและประชาชน พัฒนากระบวนการทำงาน การลงทุนในอุปกรณ์ การฝึกอบรม ที่จะทำให้ทหารเป็น “ทหารอาชีพ” ลดกำลังพล และงบประมาณลง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศ เปลี่ยนรูปแบบการเกณฑ์ทหารให้เป็นสมัครใจให้มีนัย

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลนี้จะต้องเดินหน้าแก้ไขกฏระเบียบ กฏหมาย ข้อจำกัดต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างเนื้อสร้างตัวของประชาชน การทำธุรกิจ การคิดค้นธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะกฏหมายเกี่ยวกับการทำสุราพื้นบ้าน ซึ่งจะกลายมาเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่ชุมชนจะสามารถชูจุดเด่นของตนเองได้ สนับสนุนการแข่งขันที่เป็นธรรม ทำให้คนตัวเล็กสามารถเติบโตได้ ขณะที่เรื่องการเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย รัฐบาลนี้จะทำประชามติ เพื่อทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จ โดยไม่จุดขนวนความขัดแย้งในสังคมให้ได้ มุ่งหน้าทำให้ประเทศไทยมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งในที่สุด

“อย่างที่ทุกคนทราบว่าหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาลนี้คือการทำ ดิจิทัล วอลเล็ตให้สำเร็จ แม้ว่าในวันนี้ เราจะเดินหน้าออก พ.ร.บ.กู้เงินก็ตาม แต่ก็ขอให้ไม่ลืมที่จะตั้งงบประมาณเผื่อไว้ ในกรณีที่ต้องใช้พัฒนาและดำเนินโครงการด้วย แต่ขอให้ตั้งอย่างสมเหตุสมผล ในปีงบประมาณ 2568 การใช้จ่ายภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม”