“เอฟทีเออียู” กดดันจัดซื้อจัดจ้าง หนุนใช้“นวัตกรรมในประเทศ”
เอฟทีเอ ไทย-อียู รอบหน้าปลายเดือน ม.ค.67 คาดถกเงื่อนไขจัดซื้อจัดจ้างรัฐ ส่งอว.-คลัง ออกระเบียบ Offset เลี่ยงเงื่อนไขห้ามไทยมีข้อกำหนดพิเศษจัดซื้อจัดจ้างเอื้อธุรกิจและนวัตกรรมในประเทศ
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เสนอ นโยบายการกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการสร้างความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในประเทศอันเกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐ (Offset)
ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากที่ไทยจะมีการเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศ Free Trade Agreement (FTA) “European Union-Thailand Free Trade Agreement: EU-THAILAND FTA” ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 22-26 ม.ค. 2567 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการเจรจาข้อตกลงการค้าเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โดยมีข้อกำหนดห้ามมีมาตรการกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการชดเชยให้มีการตอบแทน (Offset) เว้นแต่ไทยมีนโยบาย Offset ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมก่อนการเจรจาความตกลงดังกล่าวจึงจะสามารถทำข้อสงวนเพื่อขอระยะเวลาในการปรับตัว ดังนั้น ไทยจึงจำเป็นต้องมีข้อเสนอนโยบาย Offset ก่อนการเจรจาข้อตกลงในวันดังกล่าว
“ดังนั้นที่ประชุมครม.จึงมีมติมอบหมายให้ อว. และกระทรวงการคลัง (กค.) ร่วมกันจัดทำกฎกระทรวงหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกำหนดแนวปฏิบัติตามข้อเสนอนโยบายดังกล่าว”
สำหรับข้อเสนอนโยบาย Offset ของไทยเป็นการกำหนดเงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐให้ต้องมีความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับขีดความสามารถและพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานโลกผ่านโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการใช้งบประมาณภาครัฐอย่างคุ้มค่า มีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการจัดซื้อจัดจ้างให้มีการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว
ขณะที่หลักการ Offset ระหว่างประเทศ ว่าด้วยการกำหนดเงื่อนไขหรือการดำเนินการใด ๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาดุลการชำระเงินของประเทศ (ดุลการชำระเงิน หมายถึง ผลสรุปของการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างผู้ที่มีถิ่นฐานในไทยกับต่างประเทศในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ประกอบด้วยดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุน) เช่น การกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ การให้สิทธิพิเศษแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การอนุญาตให้ใช้สิทธิทางเทคโนโลยี การลงทุน การแลกเปลี่ยนในทางการค้า
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ไทยเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับ EU (14 ก.พ. 2566) ผู้แทนจากไทยและ EU ได้มีการเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศ FTA “EU-THAILAND FTA” ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 18-22 ก.ย. 2566 ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ซึ่งได้หารือเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โดย EU เน้นย้ำให้ไทยต้องเปิดตลาดการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐบนพื้นฐานของความตกลงว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ (Government Procurement Agreement: GPA)2ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ตามมาตราที่ X.7 หลักการทั่วไป ข้อ 8 เกี่ยวกับประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ
นอกจากนี้ ห้ามไทยกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการชดเชยให้มีการตอบแทน (Offset) ในทุกขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ เช่น การกำหนดเงื่อนไขให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ การให้สิทธิพิเศษกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SME) เฉพาะที่มีสัญชาติไทย การอนุญาตให้ใช้สิทธิทางเทคโนโลยี การลงทุน การแลกเปลี่ยนในทางการค้า และการกระทำหรือการตั้งเงื่อนไขอื่นใดในลักษณะเดียวกัน