ทอท.ถอดแบบสนามบินชางงี คอมมูนิตี้มอลล์ใกล้แอร์พอร์ต
ทอท.ศึกษาพื้นที่เชิงพาณิชย์ “สุวรรณภูมิ” เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ ใกล้อาคารผู้โดยสาร ดันสัดส่วนรายได้นอกเหนือธุรกิจการบินกว่า 50%
พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ขณะนี้มีนโยบายให้ศึกษาการใช้ประโยชน์พื้นที่เชิงพาณิชย์ของท่าอากาศยานต่างๆ โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบว่ามีพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จำนวนมาก อาทิ ที่ดินแปลงถนนวัดศรีวารีน้อย 723 ไร่ และที่ดินแปลง 37 เนื้อที่ 1,470 ไร่
อย่างไรก็ดี ได้มอบหมายให้ ทอท.ดำเนินการศึกษาที่ดินแปลงที่ใกล้กับอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้นำมาพัฒนาเป็นส่วนเร่งด่วน เพราะนับเป็นที่ดินแปลงศักยภาพ สามารถต่อยอดไปสู่การบริการผู้โดยสารได้ ซึ่งเบื้องต้นมีแนวคิดจะพัฒนาที่ดินแปลงใกล้อาคารผู้โดยสารนี้ให้เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ OUTLET หรือ ศูนย์การค้า เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับผู้โดยสาร สร้างกิจกรรมต่างๆ ระหว่างรอเดินทาง
“ตอนนี้กำลังเร่งให้ศึกษาแปลงที่ดินใกล้อาคารผู้โดยสารมากที่สุด ต้องใช้ประโยชน์นำมาพัฒนาเป็น OUTLET หรือ ศูนย์การค้า ได้หรือไม่เพื่อรองรับผู้โดยสารที่ออกจากโรงแรมตั้งแต่เที่ยง มาพักคอย มีที่ฝากกระเป๋า หรืออาจจะรับ early check in (เช็คอินก่อนเวลา) รวมถึงบริการอื่นๆ เช่น นวดเท้า ทานอาหาร หรือ ช็อปปิ้ง ที่สามารถใช้เวลาอยู่ได้ 6-7 ชั่วโมง”
พล.ต.อ.วิสนุ กล่าวด้วยว่า การพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้ในลักษณะนี้ มีโมเดลในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาก อาทิ สนามบินชางงี สิงคโปร์ ที่มี Jewel Changi Airport หรือ ญี่ปุ่นที่มี OUTLET ไว้ช็อปปิ้ง เนื่องจากผู้โดยสารที่เดินทางมาสนามบินมักจะเผื่อเวลาการเดินทาง และทำให้ต้องมารอพักคอยในอาคารผู้โดยสาร ซึ่งเกิดความแออัด แต่การสร้างคอมมูนิตี้ที่มีบริการด้านต่างๆ รองรับ มีโรงแรมพักคอย และอยู่ใกล้อาคารผู้โดยสาร จะทำให้ลดความแออัดในอาคารผู้โดยสารไปได้ อีกทั้งผู้โดยสารยังใช้เวลาพักคอยไปจับจ่ายใช้สอยเกิดเงินสะพัดด้วย
ทั้งนี้ ตนมองว่าโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องขับเคลื่อนอย่างจริงจังให้ทันต่อการฟื้นตัวของผู้โดยสาร เบื้องต้นคาดการณ์ว่าโครงการนี้จะศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2567 และเห็นเป็นรูปธรรมภายใน 1-2 ปีหลังจากนี้
สำหรับรายได้จากธุรกิจนอกเหนือการบิน (Non – Aero) ทอท.มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนให้มากกว่า 50% จากก่อนหน้านี้มีสัดส่วนอยู่ที่กว่า 40% เพื่อทำให้ ทอท.มีรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการพึ่งพาเฉพาะรายได้จากธุรกิจการบินที่มีปัจจัยแวดล้อมกระทบ อาทิ การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้รายได้ด้านการบินลดลงอย่างเห็นได้ชัด