ส่งออกข้าวปี 67 เหนื่อย ไทยแข่งเวียดนามชิงอันดับ 2
ผู้ส่งออกข้าวตั้งเป้าส่งออกข้าวปี 67 ที่ 7.5 ล้านตัน วอนรัฐบาลรักษาเสถียรภาพค่าเงินไม่ให้ผันผวน เร่งพัฒนาข้าวพันธุ์นุ่มตอบสนองความต้องการของตลาด จับตานโยบายอินเดียยกเลิกจำกัดการส่งออก
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ข้อมูล ของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา หรือ USDA คาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวของโลกในปี 2567 จะทรงตัวเท่ากับปีที่แล้ว เฉลี่ย 513 ล้านตัน โดยจีน มีผลผลิตมากที่สุด 144 ล้านตัน รองลงมาเป็นอินเดีย 132 ล้านตัน บังคลาเทศ อินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ผลิตใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ประมาณ 20 ล้านตัน โดยการส่งออกข้าวในปี 67 จะอยู่ที่ 52.2 ล้านตันลดลง 0.4 %
ทั้งนี้สมาคมคาดว่า การส่งออกข้าวไทยในปี 2567 จะมีปริมาณ 7.5 ล้านตัน ลดลงจากปีที่แล้วที่ส่งออกได้ 8.7 ล้านตัน ซึ่งปี 66 ถือเป็นปีที่ดีของข้าวไทย เนื่องจากนโยบายการจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียตั้งแต่เดือนส.ค. ทำให้ประเทศฟิลิปปินส์หันมาสั่งข้าวในในไตรมาส 4 มากเกิน 4 แสนตัน นอกจากนี้ราคาข้าวของประเทศเวียดนามแพงกว่าข้าวไทย 20-30 ดอลลาร์ต่อตัน ส่งผลให้การส่งออกข้าวไทยปี 66ได้ถึง 8.7 ล้านตัน
ส่วนปี 67 คาดว่าอินเดียยังเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ที่ 16.5 ล้านตัน ไทย 7.5 ล้านตัน เวียดนาม 7.5 ล้านตัน ปากีสถาน 5 ล้านตัน สหรัฐ 2.7 ล้านตัน จีน 2.2 ล้านตัน อย่างไรก็ตามคงต้องจับตาการส่งออกข้าวของเวียดนามในปีนี้ที่อาจจะส่งออกข้าวได้มากกว่า ปี 66 เพราะราคาข้าวเวียดนามต่ำกว่าประเทศ โดยจากการประมูลนำเข้าข้าวปริมาณ 5 แสนตันของอินโดนีเซียเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา เวียดนามชนะประมูลไปกว่า 4 แสนตัน ที่เหลือเป็นของปากีสถาน และเมียนมา โดยที่ไทย ไม่สามารถประมูลได้เลย เนื่องจากราคาข้าวสูงกว่าคู่แข่งเสนอราคาที่ 690 ดอลลาร์ต่อตัน แต่เวียดนาม เสนอราคาเพียงตันละ 655 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งต่างกันถึง 40 ดอลลาร์
ขณะที่การเจรจาซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจียังไม่เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นยาก เพราะแต่ละประเทศปรับเปลี่ยนการซื้อข้าว โดยใช้เอกชน เป็นผู้นำเข้าแทน แล้วเก็บภาษีนำเข้า เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือเกษตร และยังมีความคล่องตัวกว่า อย่างไทยเอง หากจะขายข้าว แบบจีทูจีต้องผ่านหลายขั้นตอนทั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) และครม. อาจจะกินเวลาไปถึง 2 เดือนกว่าจะส่งมอบได้ อีกทั้งผู้นำเข้าจะดูเรื่องราคาเป็นหลัก หากราคาถูกกว่าก็จะซื้อ
นายชูเกียรติ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกข้าวไทย ประกอบด้วย 1.ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งไม่มีเสถียรภาพทำให้การคิดคำนวณราคาค่อนข้างลำบาก ผู้ซื้อหรือผู้นำเข้าเองก็ไม่ชอบเพราะมีความเสี่ยง เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามที่เป็นคู่แข่งสำคัญของไทยที่ค่าเงินไม่สวิงมากนักลูกค้าก็ชอบเพราะทำการตลาดได้ง่ายง
2.ความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย โดยเฉพาะภาคการผลิต ที่ต้นทุนสูงแต่ผลผลิตต่อไร่ต่ำเพียง 450 กก.ต่อไร่ ขณะที่เวียดนามผลผลิตต่อไร่ 970 กก.ต่อไร่ มากกว่าเท่าตัว แค่เรื่องนี้ก็แพ้กันตั้งแต่ก้นมุ้ง อีกทั้งพันธุ์ข้าวก็มีความหลากกลายตอบสนองความต้องการของตลาด โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวนุ่ม
3.ภาวะการแข่งขันด้านราคาข้าวในตลาดโลก ซึ่งข้าวไทยราคาสูงเมื่อเทียบกับผู้ผลิตรายอื่น แตกต่างกัน30-40 ดอลลาร์
4.นโยบายการจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดีย ซึ่งขณะนี้มีกระแสว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการยกเลิกนโยบายนี้หลังการเลือกตั้งในเดือน เม.ย.หรือพ.ค.หรือใช้วิธีการเก็บภาษีแทน ซึ่งจะทำให้อินเดียส่งออกข้าวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และส่งผลให้ราคาข้าวถูกลงอีก
5.ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งยังไม่สามารถประเมินได้ว่า จะทำให้เกิดภัยแล้งรุนแรงหรือไม่อย่างไร เพราะจะมีผลต่อปริมาณผลผลิตข้าว
“สัญญาณส่งออกข้าวไทยปีนี้ได้มากขึ้นไม่ใช่เรื่องง่าย มองว่าเป้าส่งออกปีนี้น่าจะเหลือเพียง 7.5 ล้านตัน ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าประเทศส่งออกข้าวโลกอันดับสองปีนี้จะเป็นไทยหรือเวียดนาม เพราะตั้งเป้าส่งออกทั้งปีเท่ากันที่ 7.5 ล้านตัน ซึ่งไตรมาสแรกเราไม่น่าห่วงเพราะยังมีข้าวคงค้างส่งมอบจากปีก่อน น่าจะเฉลี่ยได้7-8 แสนตัน ต้องลุ้นไตรมาส 2 เป็นต้นไป “นายชูเกียรติ กล่าว
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคาข้าวไทย จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั้งการผลิต การส่งออก ที่จะกระทบกับราคาข้าวเปลือกในประเทศ อย่างเดือนแรกของปีนี้ จากใบอนุญาตส่งออกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่าไทย ส่งออกแล้วมากกว่า 1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นถึง 43.96% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากส่งออกเกิน 1 ล้านตันติดต่อกันหลายๆเดือน ก็จะมีผลต่อราคาแน่นอน
สำหรับประเด็นที่อยากให้รัฐ เข้ามาดูแล คือเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ต้องมีเสถียรภาพ ไม่ผันผวน โดยอยากให้รัฐบาลดูแลให้ค่าบาทเสถียรภาพ และภายใน 1 เดือนควรดูแลไม่ให้ผันผวนเกิน 1% โดยค่าบาทระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์รับได้และเร่งพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันของข้าวไทย ทั้งพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ที่ตลาดต้องการ ได้ผลผลิตต่อไร่สูง ให้ทันกับคู่แข่งทั้งเวียดนาม และอินเดีย
นอกจากนี้ปัญหาความขัดแย้งและสงครามที่ยืดเยื้อ ส่งผลต่อค่าขนส่งทางเรือปรับตัวสูงขึ้นมาก และจากการโจมตีในทะเลแดงค่าขนส่งเพิ่ม 4 เท่าแล้ว เช่น ส่งไปสหรัฐฯจาก 1,200 ดอลลาร์ต่อตู้ เป็น 4,000 ดอลลาร์ต่อตู้แล้ว หรือปรับขึ้นทุกสัปดาห์ละ 300-600 ดอลลาร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการส่งออกแล้ว