'เผ่าภูมิ' จ่อรื้ออัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หวั่นซ้ำเติมเศรษฐกิจ
"เผ่าภูมิ" เผยคลังหารือมหาดไทยปรับอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ชี้อัตราไม่เหมาะสม หวั่นซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจยังอ่อนแอ จี้แบงก์ลดเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ เปิดรับความเสี่ยงเพิ่ม หนุนศักยภาพเติบโตเศรษฐกิจ
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “อสังหาริมทรัพย์ ดัชนีหลักชี้เศรษฐกิจปี 2024” ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ศึกษาการปรับปรุงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพิจารณาจากความคิดเห็นในเชิงบวกและเชิงลบของการจัดเก็บภาษีในอัตราปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อพัฒนาระบบภาษีให้ตอบสนองต่อทั้งฝ่ายผู้ผลิตและผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้มากที่สุด รวมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจในระดับมหภาค
"ประเด็นที่อยู่ระหว่างการศึกษาครอบคลุมทั้งเรื่องของอัตราภาษี ความเหมาะสม ความครอบคลุม และเงื่อนไขต่างๆ โดยมีการหารือร่วมกันกับกระทรวงมหาดไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผลบวกต่อภาคเอกชนและประชาชนมากที่สุด"
ทั้งนี้ อัตราภาษีถือเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหว เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันยังขยายตัวได้ไม่ดีนักและยังคงอ่อนแอ ดังนั้นการเก็บภาษีจึงไม่ควรซ้ำเติมประชาชนเพิ่ม รวมไปถึงภาษีอื่นๆ ด้วยที่คลังกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อะไรที่ควรต้องปรับหรือเพิ่มเติม
สำหรับมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่หมดอายุไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2565 นั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า คลังยังคงหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างต่อเนื่องแม้ผลลัพธ์จะยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจนัก ตนมองว่าการพิจารณามาตรการที่จะมาสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการปล่อนสินเชื่อนั้น ไม่สามารถมองในมิติเดียวว่าจะทำให้ประชาชนมีการก่อหนี้เพิ่ม แต่จะต้องมองในมิติของภาวะเศรษฐกิจที่จะอาจขยายตัวได้จากการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ซึ่งการมองในมุมของความระมัดระวังจำเป็น แต่ต้องไม่กระทบต่อศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย
"ความเข้มงวดในการปล่อยของสถาบันการเงินปัจจุบันไม่ใช่เพียงภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เป็นปัญหาภาพรวมของเศรษฐกิจด้วย ทั้งนี้สถาบันการเงินไทยมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง เพราะระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งไม่สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกที่เข้ามาช่วยผลักดันสภาวะเศรษฐกิจได้ดีพอ เพราะฉะนั้นต้องสนับสนุนให้มีการเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อ โดยต้องหาจุดสมดุลระหว่างเสถียรภาพกับศักยภาพ มีเสถียรภาพแต่ไม่มีศักยภาพก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สมดุล เพราะอิงกับเสถียรภาพมากกว่าศักยภาพ"
ส่วนสถานการณ์อุปทานที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนมากหลังโควิด ทั้งอสังหาฯ แนวดิ่งและแนวราบ เนื่องจากคนไม่มีกำลังซื้อ ในปัจจุบันตลาดเองก็มีการปรับตัว ตามกลไกตลาดซึ่งภาครัฐไม่ควรเข้าไปแทรกแทรง แต่ต้องช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ออกมาตรการทางด้านภาษีที่ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน รวมทั้งมาตรการทางการเงินที่ช่วยเหลือด้านสินเชื่อ ประกอบด้วย
มาตรการด้านภาษี
1.ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยกู้ยืม สำหรับการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อบรรเทาภาระของผู้มีเงินได้
2.การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ของภาษีที่ต้องเสียให้แก่ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ไม่เกิน 3 ปี เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้ประกอบการระหว่างการก่อสร้าง
3.การยกเว้นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับทรัพย์ส่วนกลางที่มีไว้เพื่อใช้ร่วมกันสำหรับเจ้าของร่วมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน และกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
4.การขยายเวลาจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ในปี 2567 เป็นการทั่วไปออกไปอีก 2 เดือน
5. มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ลดค่าจดทะเบียนการโอนจาก 2% เหลือ 1% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ที่จดทะเบียนในปี 2567
มาตรการทางการเงิน
1.โครงการบ้านล้านหลัง สนับสนุนประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาที่ไม่สูง โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อผ่อนปรน วงเงิน 20,000 ล้านบาท วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี
2.โครงการสินเชื่อ Happy Life สนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง วงเงินกู้ต่อรายตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ 2.98% ต่อปี ดอกเบี้ยต่ำที่สุดในปีแรกที 1.95% ต่อปี