‘JCR’ คงอันดับเครดิตเรตติ้งไทย ‘ระดับ A’ มั่นใจหนี้สาธารณะต่ำ 70% ต่อ GDP
Japan Credit Rating คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ A และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ
นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2567 บริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) ได้เปิดเผยรายงานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ A และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
1.อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ระบบการเงินมีเสถียรภาพ และมีความยืดหยุ่นต่อการรับมือจากผลกระทบภายนอก (External Shocks) โดยเศรษฐกิจไทยได้ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 และคาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพในปี 2567 จากการส่งออกภาคบริการและการบริโภคของภาคเอกชน
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากอัตราการเกิดที่ลดลง และประชากรผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้น
2.รัฐบาลไทยได้ใช้มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมและจูงใจนักลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการเน้นความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่สำคัญ อาทิ โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Hub) ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive Supply Chain) อุตสาหกรรมไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
3.เศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตที่ 1.9% จากการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ขณะที่การส่งออกสินค้าลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศนำเข้าชะลอตัว
ทั้งนี้ การนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2566 สัดส่วนการนำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการมีสัดส่วนถึงร้อยละ 65 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP)
อย่างไรก็ดี รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะเติบโตที่ 2.2 – 3.2% ภายใต้สมมุติฐานว่าการส่งออกสินค้าฟื้นตัว การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัว ตลอดจนภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
4.รัฐบาลยังคงรักษาระดับฐานะการคลังให้อยู่ในระดับดี (Good Fiscal Position) แม้ต้องกู้เงินจำนวนมากในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระยะที่ผ่านมา ทำให้ต้องปรับเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จาก 60% เป็น 70% ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 62.4% และรัฐบาลจะยังสามารถรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 70% ได้
นอกจากนี้ หนี้สาธารณะส่วนใหญ่ยังคงเป็นหนี้ในประเทศและสัดส่วนหนี้ต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะคงค้างอยู่ในระดับต่ำที่ 1.4%
5.ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเกินดุลในปี 2566 และ JCR คาดว่า ในปี 2567 จะยังคงเกินดุลต่อเนื่องอีกทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและสามารถรองรับผลกระทบที่เกิดจากปัจจัยภายนอก (External Shocks) ได้