"ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา" เผย ค้าขายชายแดน"ด่านเมียวดี"ยังปกติ
ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เผย สถานการณ์สู้รบในเมืองเมียวดียังไม่ชัด ชี้ยังคุมเชิงกันทั้ง 2 ฝ่าย จับตาการอพยพข้าราชการระดับสูงเมียนมาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ส่อเค้ารุนแรง ขณะที่ด่านศุลกากรฝั่งเมียวดียังเปิดทำการปกติ
นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เปิดเผยถึงสถานการณ์กองกำลังกะเหรี่ยง เคเอ็นยู.ยึดจังหวัดเมียวดี ของเมียนมาตรงข้ามแม่สอดจ.ตาก ว่า เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนได้ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่อยู่ที่แม่สอด จ.ตาก แจ้งว่า สถานการณ์ทางฝั่งเมียวดี ที่ตลอดระยะเวลา 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ได้มีการปะทะกันระหว่างทหารประจำการของฝั่งรัฐบาลกับทหารฝ่ายต่อต้าน อันประกอบด้วยกองทัพปลดแอกแห่งชาติกะเหรี่ยง KNLA
รวมถึงกองกำลังร่วมของ PDFบางส่วน ยังคงดำเนินอยู่จนกระทั่งถึงช่วงเย็นของเมื่อวันที่ 7 เม.ย. กองทหารกะเหรี่ยง ได้เข้ายึดครองฐานทัพยุทธศาสตร์ทหารฝั่งรัฐบาล ที่เขต Ninaung จะเหลือเพียงค่ายทหาร Khlara 275 ที่อยู่ในเขตเมียวดี เยื้องๆกับปั้มน้ำมันปตท.ใกล้สามแยกที่จะมาจากสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 เท่านั้น ที่ยังคงเป็นฐานให้แก่ทหารฝ่ายรัฐบาลอยู่
แต่ความชัดเจนยังไม่แน่ใจว่า ฝ่ายต่อต้านได้เข้ามาควบคุมเมืองเมียวดีได้จริงหรือไม่ ต่อมาช่วงประมาณ 18.00 น.ก็ได้มีเพื่อนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเมียวดีโทรศัพท์เข้ามาคุยธุรกิจด้วย ก็ได้รับข่าวสารว่า ข่าวดังกล่าวเป็นความจริง เพียงแต่ทั้งสองฝั่งยังคงคุมเชิงกันอยู่ ยังไม่มีการสู้รบกันในเขตเมืองแต่อย่างใดหลังจากที่ได้รับทราบข่าวสาร ตนได้ตรวจสอบข่าวจากหนังสือพิมพ์ของเมียนมาหลายฉบับ ซึ่งมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้าน ปรากฏว่าการนำเสนอข่าวเรื่องของการสู้รบกันที่เมียวดี มีให้เห็นเพียงสองฉบับเท่านั้น นอกนั้นอีก 5 ฉบับไม่ได้ตีข่าวเรื่องนี้ เลย ทำให้เกิดความสับสนว่า ทำไมไม่มีข่าวที่เป็นข่าวใหญ่สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย
ล่าสุดตนได้โทรศัพท์ไปสอบถามเพื่อนๆ ที่อยู่ที่แม่สอดและเมืองเมียวดีอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองฝั่งต่างยืนยันตรงกันว่า ด่านศุลกากรทางฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา ยังคงเปิดให้บริการอยู่ แต่รถขนส่งสินค้าบางตากว่าทุกๆวัน การสัญจรไป-มาระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง จะมีเพียงประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเมียวดี ที่พอมีฐานะดี หรือมีญาติสนิทอยู่ที่แม่สอดบางส่วน ได้มีการข้ามแม่น้ำเมยเข้ามาอาศัยอยู่ตามบ้านญาติ และบางส่วนก็มีการเริ่มเก็บทรัพย์สินสำคัญ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ที่จะทำให้เกิดความเสียหายได้เท่านั้น
นายกริช กล่าวว่า สถานการณ์อาจจะมีการเจรจากันอยู่ระหว่างกองกำลังฝ่ายต่อต้านกับฝ่ายรัฐบาลทหาร จึงยังคงมีการคุมเชิงกันอยู่ และคงต้องรอดูเหตุการณ์ว่าจะมีการบานปลายต่อไปกว่านี้อีกหรือไม่อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป สิ่งที่สามารถสังเกตได้ว่าเหตุการณ์อาจจะไปในทิศทางลบหรือบวก ขอให้ดูว่ามีการอพยพข้าราชการชั้นสูงของฝั่งเมียนมาเพิ่มขึ้นจากเมื่อคืนวานนี้หรือไม่ หากไม่มีการอพยพเพิ่มเติมไปกว่านี้ คงไม่น่าจะมีปัญหาความรุนแรงเกิดขึ้น แต่หากมีการอพยพระลอกใหญ่ นั่นคงจะต้องมีการโจมตีเกิดขึ้นแน่นอน
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกระเหรี่ยงที่เป็นกลาง คงไม่อยากจะสูญเสียผลประโยชน์ จากการค้าชายแดนอย่างแน่นอน ซึ่งเม็ดเงินจากผลประโยชน์ดังกล่าว เป็นเม็ดเงินที่มากพอที่จะหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศเมียนมาให้อยู่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงคาดว่า ทุกฝ่ายต้องรักษาสถานภาพในขณะนี้ ไม่ให้ไปกระทบต่อการค้าชายแดน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก หรือการนำเข้าสินค้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงประเทศเมียนมา” นายกริช กล่าว