ธรรมนัส ประกาศ 9 นโยบายดันไทยสู่ศูนย์กลางอาหารของโลก
ธรรมนัส ประกาศ 9 นโยบาย ขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก ยกระดับสู่การเพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่า ภายใน 4 ปี มั่นใจไทยมีศักยภาพ เล็งทำ Story จะยกระดับร่วมกับ Micheline Guide ขยายร้านอาหารไทยไปทั่วโลก
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนIGNITE THAILAND “จุดประกายเกษตรไทย สู่ศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารของโลก พร้อมปาฐกถาพิเศษ “ ขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก” ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ว่า
การผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก (Agriculture and Food Hub) คือ 1ใน 8 วิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง ของนายกรัฐมนตรี โดยมุ่งผลักดัน ด้านการเกษตร และด้านอาหาร ซึ่งเป็นฐานรากเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
ทั้งนี้ ด้านการเกษตร รัฐบาลมีเป้าหมาย เพิ่มรายได้สุทธิให้กับเกษตรกร 3 เท่า ใน 4 ปี หรือภายในปี 2570 โดยไทยมี ศักยภาพและความอุดมสมบูรณ์ ที่เป็นข้อได้เปรียบ ทั้งด้านภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการผลิตสินค้าเกษตรหลากหลายชนิดและให้ผลผลิตตลอดทั้งปี จึงเชื่อมั่นว่าจะรัฐบาลจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างแน่นอน
โดยเห็นได้จากผลสำเร็จจากตัวอย่างสินค้าเกษตรที่ราคาดี ไม่ว่าจะเป็นยางพาราและข้าว ส่วนหนึ่งมาจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐช่วยกันกำกับดูแลสินค้าลักลอบผิดกฎหมาย และที่สำคัญ นอกจากราคาดีแล้ว ผลผลิตจะต้องดีด้วย ซึ่งจะเกิดจากการทำเกษตรแม่นยำ นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การตรวจดิน การใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม และใช้พันธ์ุพืชที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดงานวิจัย
รวมไปถึงแหล่งน้ำ ต้องมีพื้นที่ชลประทานมากขึ้น ระบบบริหารจัดการน้ำที่ดี แก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง มีการบริหารระบบตลาดสินค้าการเกษตรอย่างครบวงจร มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรที่เหมาะสม และการแก้ปัญหา PM2.5 ที่เกิดขึ้นจากภาคการเกษตร
ขณะที่เป้าหมายด้านอาหาร ไทยอุดมสมบูรณ์ มีวัตถุดิบสินค้าการเกษตรที่ดีมากมายเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ มีอาหารที่มีขึ้นชื่อ มี Story ที่จะยกระดับได้อีกมากมายหลายชนิด อาทิ ร่วมกับ Micheline Guide และการขยายตัวของร้านอาหารไทยไปทั่วโลก รวมทั้งต่อยอดอาหารผ่านนวัตกรรม เจาะกลุ่มผู้บริโภค และขยายตลาดใหม่ๆ เช่นการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทางการแพทย์ อาหาร Plant-based ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมอาหารที่เติบโตต่อเนื่อง จึงเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในศักยภาพอย่างเต็มที่ สมดังคำกล่าว“ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”และเป้าหมายที่สำคัญ นั่นคือ“ในกระเป๋าต้องมีเงิน”
การขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก กระทรวงเกษตรฯ มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมาย ในการสร้างรายได้เพิ่มเป็น 3 เท่า ใน 4 ปี ด้วย 9 นโยบายสำคัญได้แก่
1) การจัดที่ดินทำกินให้เกษตรกร 2) การจัดทำข้อมูลเกษตรกร แปลงเกษตรกรในระบบดิจิทัล และการประกันภัยพืชผล 3) การส่งเสริมฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน 4) การบริหารจัดการน้ำ 5) การผลักดันสินค้าเกษตรมูลค่าสูง 6) การส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรมีความเข้มแข็ง 7) การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร 8) การเปลี่ยนแปลงสภาวะสิ่งแวดล้อม และ 9) การทำงานและการวิจัยภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ
"การจุดประกายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก จำเป็นต้องยกระดับการขับเคลื่อนทั้งในด้านการผลิต และการตลาด ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงเกษตรฯ คือด้านการผลิต (Supply-side) ต้องขับเคลื่อนกลไกสำคัญ (Engine) ซึ่งเป็นหัวใจของภาคการผลิต คือการยกระดับสินค้าเกษตร และ มาตรการเสริมแกร่งให้กับเกษตรกรและคนในภาคการเกษตร "
สำหรับการยกระดับสินค้าเกษตรสู่การเพิ่มรายได้สามารถแบ่งกลุ่มสินค้าเป้าหมายหลัก ๆ ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าเกษตรที่มีการผลิตมากกว่าความต้องการของตลาด ได้แก่ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา โคเนื้อ ไก่เนื้อ และกุ้ง และกลุ่มสินค้าเกษตรที่ผลิตน้อยกว่าความต้องการ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง กาแฟ ทุเรียน และถั่วเหลือง โดยในแต่ละสินค้ามีความหลากหลายในแต่ละมิติต่างกันไป
ขณะที่มาตรการเสริมแกร่งให้กับเกษตรกรและคนในภาคการเกษตรเป็นความตั้งใจของกระทรวงเกษตรฯ ที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้กับเกษตรกร เช่น มาตรการการวางระบบสวัสดิการที่เหมาะสมหรือแนวทางการยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกร เช่นระบบประกันภัยภาคการผลิต การริเริ่มสวัสดิการให้กับเกษตรกร การส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตร รวมถึงการสนับสนุนปัจจัยการผลิต ทั้งพันธุ์ ดิน ปุ๋ย การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร การเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ตลอดจนการสนับสนุนการผลิตแบบมีเงื่อนไขเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรรม เป็นต้น
“การสัมมนาครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะจุดประกายให้กับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เกษตรกร Smart Farmer และ Young Smart Farmer ที่เป็นกำลังสำคัญของภาคการเกษตรเข้ามาร่วมกันแสดงพลัง และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก กระทรวงเกษตรฯ พร้อมที่จะขับเคลื่อนและร่วมกับทุกภาคส่วน เช่น
สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่จะนำไปเชื่อมโยงด้านการตลาด (Demand-side) โดยมีกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมดำเนินการ ทั้งนี้ เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรและอาหาร ที่สำคัญเกษตรกรและคนในภาคการเกษตรจะต้องมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กระทรวงเกษตรฯ จะผลักดันให้สำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดไว้ต่อไป”