6 เดือนแรก เกษตรกรร่วมพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นทะลุ 58 % ของแผน
สศก. ติดตามโครงการส่งเสริมพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น ต่อยอดสู่สินค้า GIเพิ่มรายได้เกษตรกร 6 เดือนแรก ผ่านการอบรม 3,438 ราย คิดเป็น 58.73% ของแผน
นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สศก. ได้ติดตามโครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น ซึ่งเป็นโครงการภายใต้แผนแม่บทย่อยเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น อยู่ภายใต้แผนแม่บทด้านการเกษตรเพื่อพัฒนาและต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น
รวมถึงเพื่อพัฒนาสินค้าอัตลักษณ์ในพื้นที่ให้สามารถยื่นคำขอขึ้นทะเบียนเพื่อเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)ส่งเสริมและพัฒนาสินค้า ด้วยการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นการสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรและชุมชนรวมทั้งส่งเสริมการบริโภคสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นทั้งในระดับประเทศและเพื่อการส่งออก
โดยในปี 2567มีหน่วยงานร่วมดำเนินการ 7 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมประมง กรมปศุสัตว์ และกรมหม่อนไหมกำหนดเป้าหมายส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้เกษตรกร 5,854 รายอัตราขยายตัวของมูลค่าสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 4
จากการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ ปี 2567 รอบ 6 เดือน (ตุลาคม 2566 - มีนาคม 2567) พบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้ตามแผนปฏิบัติงาน โดยอบรมถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเกี่ยวกับการขอรับรองตรามาตรฐานGIการส่งเสริมการตลาดการเพิ่มมูลค่าสินค้า การเตรียมความพร้อมในการขอรับรองมาตรฐาน เพื่อเตรียมความพร้อม ส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่นให้เกษตรกรแล้ว 3,438 ราย (ร้อยละ 58.73)และจะดำเนินการส่งเสริมเกษตรกรเพื่อให้มีศักยภาพและมีความพร้อมในการพัฒนาสินค้าและขอรับรองมาตรฐานGIให้ครบตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ จากการติดตามผลลัพธ์ของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ2566จำนวน 4 กลุ่มในพื้นที่ จังหวัดเลย เพชรบูรณ์และกำแพงเพชร ประกอบด้วย 1) กลุ่มเกษตรกรบ้านนาอุดม (ผ้าไหม/ผ้าฝ้าย) จังหวัดเลย 2) กลุ่มแปลงใหญ่มะขามตำบลวังบาล(มะขามหวาน) จังหวัดเพชรบูรณ์ 3) วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรกล้วยไข่ตำบลท่าพุทธา (กล้วยไข่) จังหวัดกำแพงเพชรและ 4) กลุ่มแปลงใหญ่ข้าวไร่หมู่ 2 ตำบลกกสะทอน (ข้าวเหนียวซิวเกลี้ยง) จังหวัดเลย พบว่า
หลังเข้ารับการส่งเสริมองค์ความรู้ เกษตรกรทุกรายมีความรู้เพิ่มขึ้น โดยก่อนเข้ารับการอบรมมีความรู้ระดับปานกลาง และหลังอบรมมีความรู้ระดับมากที่สุดเกษตรกรทุกรายนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งร้อยละ 68 นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ทั้งหมด เช่น การขอรับรองมาตรฐานGIเพื่อส่งเสริมการตลาดและการจำหน่ายที่กว้างขึ้นการออกแบบลวดลายผ้าไหม/ผ้าฝ้ายเทคนิคการย้อมสี และอีกร้อยละ 32 สามารถนำความรู้ที่ได้รับบางส่วนไปประยุกต์ใช้กับความรู้เดิม เช่น การตลาด การจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ด้านข้อมูลด้านปริมาณการผลิต ราคาและรายได้ของเกษตรกร โดยเปรียบเทียบก่อนเข้าร่วมโครงการ (ปี2565) กับหลังเข้าร่วมโครงการ (ปี2566) พบว่า
เกษตรกรผู้ปลูกมะขามหวานที่ได้รับรองมาตรฐานสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) สามารถจำหน่ายมะขามหวานได้ราคาสูงขึ้น โดยราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ย86.88บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้นร้อยละ24.11)เนื่องจากในปี2566ผลผลิตมะขามหวานมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดจึงทำให้ราคาจำหน่ายสูงขึ้น ส่งผลให้หลังเข้าร่วมโครงการเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยรายละ4,103บาทต่อปี (เพิ่มขึ้นร้อยละ10.24)ส่วนเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไข่ที่ได้รับรองมาตรฐาน(GI) หลังเข้าร่วมโครงการเกษตรกรจำหน่ายกล้วยไข่ได้ราคาเฉลี่ย22.17บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้นร้อยละ26.69)ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้หลังเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยรายละ3,816บาทต่อปี (เพิ่มขึ้นร้อยละ14.86)
สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวซิวเกลี้ยง ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) หลังเข้าร่วมโครงการสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ราคาสูงขึ้น โดยราคาเฉลี่ย 43.33 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.18) แต่เนื่องจาก เกษตรกรประสบปัญหาภัยแล้ง น้ำไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูกในปีที่ผ่านมา จึงทำให้มีผลผลิตลดลงอย่างไรก็ตาม ในปี 2568เกษตรกรที่ได้รับตรารับรองมาตรฐานสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) มีแผนจะกำหนดราคาสินค้าที่ได้รับการรับรองฯ ของตนเองให้สูงขึ้นด้านเกษตรกรผู้ผลิตผ้าไหม/ผ้าฝ้ายส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจในการขอรับรองมาตรฐานตรานกยูงพระราชทานสีทองจำนวนน้อย เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ จะทอผ้าเป็นอาชีพเสริม หลังเวลาว่างจากการทำเกษตร และจำหน่ายภายในชุมชน โดยกรมหม่อนไหมจะรณรงค์สร้างความเข้าใจให้เกษตรกรในการขอรับรองมาตรฐานฯ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าผ้าไหมให้สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกรด้วยต่อไป