พลังงาน-อาหารสด ดันเงินเฟ้อ เม.ย.บวก 0.19 % ขยายตัวครั้งแรกรอบ 7 เดือน
เงินเฟ้อเดือนเม.ย.สูงขึ้น 0.19 % กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ผลจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น คาดเดือนพ.ค.ยังคงเป็นบวกต่อเนื่อง คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 67 อยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0 %ค่ากลาง 0.5%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย หรือเงินเฟ้อเดือนเม.ย. 2567 เท่ากับ 108.16 เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย 2566 ซึ่งเท่ากับ 107.96 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.19 % กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน เป็นผลจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับสูงขึ้น ตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลก สินค้าเกษตรหลายรายการโดยเฉพาะผักสด และผลไม้สด ออกสู่ตลาดลดลงและราคาสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด สำหรับสินค้าและบริการอื่น ๆ ราคาเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ
ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้น 0.37 % ทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนหน้า ขณะที่เงินเฟ้อ เฉลี่ย 4 เดือน (ม.ค. –เม.ย.) ปี 2567 ลดลง 0.55 %
ทั้งนี้เงินเฟ้อเดือนเม.ย.ที่สูงขึ้น 0.19 % มาจาก หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 0.28 % จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ กลุ่มอาหารสด อาทิ ผักสด เช่น แตงกวา ถั่วฝักยาว ผักชี ผักคะน้า ผักกาดขาว ต้นหอม ผลไม้สด กล้วยหอม องุ่น สับปะรด ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว เนื่องจากสภาพอากาศร้อนจัดและขาดแคลนน้ำในหลายพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง
อาหารบริโภคในบ้าน กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารว่าง ข้าวแกง/ข้าวกล่อง) ตามต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ขณะที่ยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร ปลาทู น้ำมันพืช และกระเทียม เป็นต้น
หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.12 % จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้ง แก๊สโซฮอล์ 95 91 และ E20 น้ำมันเบนซิน 95 ตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับสูงขึ้น ค่าของใช้ส่วนบุคคล ทั้งแป้งทาผิวกาย ยาสีฟัน กระดาษชำระ เนื่องจากสิ้นสุดโปรโมชั่น ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สุรา บุหรี่ ไวน์
อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ราคาลดลง อาทิ ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันดีเซล ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม เสื้อยืดบุรุษและสตรี และเสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี เป็นต้น
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนพ.ค. 2567 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะอยู่ที่1-1.5% โดยมีสาเหตุสำคัญจาก ฐานราคาค่ากระแสไฟฟ้าเดือนพฤษภาคม 2566 อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดของปี 2566 ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้น ทั้งไข่ไก่ เนื้อสุกร ผัก และผลไม้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด และขาดแคลนน้ำในบางพื้นที่
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทรงตัวในระดับสูง ประกอบกับมีการปรับลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่า ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น และ ผู้ประกอบการมีแรงกดดันจากต้นทุนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายค่ากระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าในไตรมาส 2 น่าจะเพิ่ม 0.8-1%
ขณะที่ยังมีปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการบางชนิดยังคงอยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ เศรษฐกิจขยายตัวในระดับต่ำ และ การแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการค้าส่งและค้าปลีกขนาดใหญ่ รวมทั้งการเติบโตของการค้าอีคอมเมิร์ซ ทำให้มีการแข่งขันและใช้นโยบายส่งเสริมการค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะการปรับลดราคาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกรณีที่รัฐบาลจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ตั้งแต่ 1 ต.ค.2567 กำลังติดตามและดูรายละเอียดว่าจะกระทบต่อเงินเฟ้อมากน้อยแค่ไหน รวมถึงการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท ซึ่งตอนนี้ยังไม่เกิด แต่ถ้ามา มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อแน่
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0 % ค่ากลาง 0.5% ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง