‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ กระสุนการคลังสำคัญ ความหวังดัน GDP ปี 67 โตแตะ 3%
ผ่านช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 มาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยกลับส่งสัญญาณชะลอตัวลง ล่าสุด “คลัง” ปรัดลดคาดการณ์ GDP เหลือ 2.4% จาก 2.8% โดยยังคาดหวังว่าเม็ดเงินจาก “ดิจิทัลวอลเล็ต” ในช่วงไตรมาสสุดท้าย จะเป็นกระสุนการคลังที่ดันให้เศรษฐกิจโตแตะ 3%
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 กำลังเผชิญกับปัจจัยท้าทายใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1. การส่งออกสินค้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ที่หดตัว 0.2% มากกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่หดตัวถึง 12.3%
2.การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงหดตัวซึ่งสะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 โดยเฉพาะสินค้าในหมวดยานยนต์และหมวดชิ้นส่วน และแผงวงจร
3.ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและปรากฏการณ์เอลนีโญ
4. ภาคการคลังที่ใช้การเบิกจ่ายตามงบประมาณตามปี 2566 ไปพลางก่อน งบประมาณรายจ่ายปี 2567 จะมีผลบังคับใช้และประกาศในราชกิจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2567 ซึ่งถือว่าล่าช้าไปถึง 6 เดือน
ทั้งนี้ สศค.จึงปรับตัวเลขประมาณการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2567 อยู่ที่ 2.4% ลดลงจาก 2.8% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนม.ค. รวมทั้งลดคาดการณ์ส่งออกไทยอยู่ที่ 2.3% จาก 4.2% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.6% จาก 1.0%
นายพรชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องอย่าลืมว่าการประมาณการณ์เศรษฐกิจในเดือนม.ค. ยังไม่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียดมากขึ้นในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งใหม่
อย่างไรก็ตาม หากเม็ดเงิน 500,000 ล้านบาท จากโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เริ่มมีการใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.3% ต่อปี ในกรณีประชาชนใช้จ่ายเม็ดเงินราว 3.5 แสนล้านบาท ภายในช่วงสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ เมื่อเม็ดเงินจากงบประมาณรายจ่ายปี 2567 กว่า 3.48 ล้านล้านบาท จะเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยสศค.คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายที่ 92.3% โดยเฉพาะรายจ่ายการลงทุนที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ คาดว่าจะเบิกจ่ายได้ 64% และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเร่งขึ้นได้ในช่วงที่เหลือของปี 2567
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลมองว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นโครงการสวัสดิการของรัฐ ก็คงจะเลือกเติมเงินให้ประชาชน 16 ล้านคนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง และดำเนินการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ทันที
อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ของรัฐบาลมีเป้าหมายคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนละโจทย์กับการทำโครงการสวัสดิการ
“ถ้ารัฐบาลเลือกปรับลดขนาดโครงการเงินดิจิทัลให้เหลือ 16 ล้านคน ก็ทำได้เลยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเพิ่มวงเงินเข้าไปจากเดิม แต่โจทย์ที่รัฐบาลต้องการทำคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นหากคาดหวังผลลัพธ์ก็ต้องขึ้นอยู่กับขนาดเม็ดเงินที่ใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วย”
นายลวรณ กล่าวว่า แม้ในตอนแรกจะมีการถกเถียงกันว่าเศรษฐกิจวิกฤติหรือไม่วิกฤติ แต่ในตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจสะท้อนชัดแล้วว่าแต่ละเดือนผ่านไปเศรษฐกิจมีแต่ทิ่มหัวลง เนื่องจากกำลังซื้อที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจ ซึ่งการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วที่สุด ผ่านการกระตุ้นภาคการบริโภค
“การเดินหน้าโครงการดิจิทัลเป็นการใช้กระสุนทางการคลัง เป็นนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลต้องแลกมากับการทำเรื่องอื่นๆ ไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลประเมินแล้วว่าต้องการทำเรื่องนี้”