‘เศรษฐา’ ลั่น ‘เงินดิจิทัล’ ฟื้นการผลิต - จ้างงาน งบ 68 สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจ

‘เศรษฐา’ ลั่น ‘เงินดิจิทัล’ ฟื้นการผลิต - จ้างงาน งบ 68  สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจ

‘นายกฯ’ แถลงหลักการ ร่างงบปี 68 แจกหมื่นบาท ดิจิทัลวอลเล็ตถึงมือคนไทยปลายปี สร้างพายุทางเศรษฐกิจ ชี้งบภาครัฐไปสู่เอกชน กระตุ้นการใช้จ่าย - บริการ สำนักงบ ยันตั้งงบรายจ่ายดิจิทัลวอลเล็ตใน พ.ร.บ.งบเพิ่มเติมปี 67 วงเงิน 9 หมื่นล้านเศษ ไม่ขัดวิธีการงบประมาณ ชงสภาฯ ก.ค.นี้

KEY

POINTS

  • ‘นายกฯ’ แถลงหลักการ ร่างงบปี 68 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ตั้งงบประมาณแจกดิจิทัลวอลเล็ต 152,700 ล้านบาท เพื่อแจกเงินถึงมือคนไทยปลายปี สร้างพายุทางเศรษฐกิจ
  • พร้อมย้ำงบภาครัฐไปสู่เอกชน กระตุ้นการใช้จ่าย-บริการ
  • สำนักงบฯ ยันตั้งงบรายจ่ายดิจิทัลวอลเล็ตใน พ.ร.บ.งบเพิ่มเติมปี 67 วงเงิน 9 หมื่นล้านเศษ ไม่ขัดวิธีการงบประมาณ ชงสภาฯ ก.ค.นี้
  • กฤษฎีกาตีความโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในส่วนของ ธ.ก.ส.โดยกระทรวงการคลัง จะเป็นฝ่ายเสนอผ่าน ครม. 

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรประชุมสมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ เพื่อพิจาณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท วาระแรก โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานการประชุม

สำหรับภาพรวมงบประมาณรายจ่ายปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท เป็นรายจ่ายประจำ 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 72.1% ของงบประมาณทั้งหมด รองลงมาเป็นรายจ่ายลงทุน 9.08 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 24.2% ซึ่งเป็นสัดส่วนการลงทุนสูงรอบ 17 ปี และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 1.5 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 4%

ขณะที่รายรับ 3.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% แบ่งเป็นรายได้รัฐบาล 2.88 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% และเงินกู้ 865,700 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 24.9%

ทั้งนี้รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 10,000 ล้านบาท โดยการจัดสรรงบประมาณยังยึดตามยุทธศาสตร์ชาติ

นอกจากนี้ ได้ประเมินเศรษฐกิจปี 2568 ขยายตัว 2.8-3.8% อัตราเงินเฟ้อ 1.1-2.1% และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด/จีดีพี 1.6% โดยมีข้อจำกัด และความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจากแรงขับเคลื่อนการคลังลดลง รวมถึงความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์กระทบเศรษฐกิจโลก และตลาดเงิน และตลาดทุนผันผวน

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ชี้แจงหลักการ และเหตุผลต่อที่ประชุมว่า ปลายปี 2567 นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะถึงมือคนไทย 50 ล้านคน จะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจที่กระตุ้นเศรษฐกิจที่ทั่วถึงตั้งแต่ระดับฐานราก ไปยังพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้เกิดการใช้จ่าย สั่งผลิตสินค้า จ้างงาน และหมุนกลับมาเป็นภาษีให้กับรัฐ เพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับประเทศต่อไป

 

 

 

สำหรับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจมีปัญหาหนี้สินครัวเรือนสูงกว่า 91.3% ต่อจีดีพี ซ้ำกับปัญหาหนี้นอกระบบ และเอสเอ็มอีจำนวน 3.2 ล้านราย โดยครึ่งหนึ่งเข้าไม่ถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้การเติบโตของเอสเอ็มดีอยู่ในระดับต่ำ ทำให้รัฐบาลต้องทำนโยบายงบประมาณขาดดุลเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้ต่อเนื่อง

โดยมีประมาณการเก็บรายได้จากภาษีได้สุทธิ 3.02 ล้านล้านบาท และหักการจัดสรรภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1.35 แสนล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิ 2.88 ล้านล้านบาท และมีเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณณ จำนวน 8.6 แสนล้านบาท รวมเป็นรายรับ 3.7 ล้านล้านบาท

“การทำงบแบบขาดดุล มีความสำคัญ และจำเป็นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเม็ดเงินจำนวนมากไหลจากภาครัฐไปสู่เอกชน ให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า บริการ หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจต่อเนื่อง” นายกฯ กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับฐานะการคลัง มีหนี้สาธารณะ 11 ล้านล้านบาท คิดเป็น 63.37% ของจีดีพี ทั้งนี้อยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐที่กำหนดไว้ให้ไม่เกิน 70% ของจีดีพี ขณะที่เงินคงคลัง เมื่อ 30 เม.ย.67 มี 4.3 แสนล้านบาท

‘เศรษฐา’ ลั่น ‘เงินดิจิทัล’ ฟื้นการผลิต - จ้างงาน งบ 68  สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจ

“รัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่ฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี มีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ อยู่ที่ 2.24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขเมื่อ 31 ธ.ค.2566 คิดเห็น 2.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ถือว่าอยู่ในระดับแข็งแกร่งมาก”

นายเศรษฐา กล่าวว่า แม้งบประมาณปี 2568 จะขาดดุลเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลจัดสรรรายจ่ายลงทุนไว้ จำนวน 9.08 แสนล้านบาท คิดเป็น 24.2% ของงบรายจ่ายประจำปี ซึ่งเพิ่มจากปีก่อน 27.9% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 17 ปี การบริหารงบรายจ่ายทั้งหมด จะใช้จ่ายเพื่อดำเนินนโยบายของรัฐบาล และกระตุ้นเศรษฐกิจ

โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบการเงินการคลัง ใช้จ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพ และกระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชน และภาคธุรกิจ สร้างการเติบโตให้ประเทศพัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามกฎหมาย

‘เศรษฐา’ ลั่น ‘เงินดิจิทัล’ ฟื้นการผลิต - จ้างงาน งบ 68  สร้างพายุหมุนเศรษฐกิจ

รัฐบาลเร่งเครื่องดันงบแจกเงินดิจิทัล

รายงานข่าวระบุว่านโยบายเงินดิจิทัล 500,000 ล้านบาท เป็นโครงการสำคัญของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลวางแผนใช้แหล่งเงิน 3 แหล่ง ได้แก่ 

1.การออก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 122,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลต้องใช้การบริหารงบประมาณจากงบกลางเพิ่มเติมเพราะเดิมวงเงินที่จะใช้จากงบประมาณปี 2567 นั้นกำหนดไว้ 175,000 ล้านบาท ซึ่งต้องใช้งบกลางปี 2567 อีกกว่า 53,000 ล้านบาท

2.ตั้งงบประมาณในปีงบประมาณ 2568 ไว้ในงบกลางในงบประมาณรายจ่ายปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท 

3.ขอใช้วงเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) วงเงิน 172,300 ล้านบาท ตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 โดยขอให้ ธ.ก.ส.จัดทำโครงการเพื่อดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกร จำนวน 17 ล้านคนเศษ

สำหรับความคืบหน้าของการจัดทำงบประมาณเพื่อใช้ในโครงการนี้อยู่ระหว่างการจัดทำ โดย พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวาระที่ 1 ส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติมปี 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบ และรายละเอียดงบประมาณวงเงิน 122,000 ล้านบาท

ก.ค.ชงสภาฯ ร่างเคาะงบกลางปี 67

นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมปี 2567 วงเงิน 122,000 ล้านบาท เมื่อ ครม.เห็นชอบแล้ว สำนักงบประมาณจะเปิดให้รับฟังความคิดเห็นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ จากนั้นจะนำความเห็นมาปรับปรุงรายละเอียดก่อนจัดทำ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมปี 2567 เพื่อเสนอ ครม.ก่อนที่ส่งให้รัฐสภาพิจารณากลางเดือนก.ค.นี้

สำหรับการที่วงเงินงบประมาณเพิ่มเติมปี 2567 ที่ตั้งงบประมาณส่วนใหญ่ 97,000 ล้านบาท จากวงเงินทั้งหมด 1.22 แสนล้านบาท เป็นรายจ่ายลงทุน นั้น นายเฉลิมพล กล่าวว่า สามารถตั้งงบประมาณลักษณะนี้ได้เพราะเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งวงเงินที่ตั้งไว้เป็นรายจ่ายลงทุนนั้นเนื่องจากเมื่อเบิกจ่ายงบประมาณส่วนนี้ลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจ ประชาชนจะใช้จ่าย และทำให้เกิดการผลิต และการลงทุนตามมา ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล

“กฤษฎีกา”รอตีความใช้เงิน ธ.ก.ส.

นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า ในส่วนของการตีความข้อกฎหมายในการขอใช้เงินจาก ธ.ก.ส.เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น คาดว่าเรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการทำงานของกระทรวงการคลัง ซึ่งทางคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ทราบในรายละเอียดเพราะว่าอยู่ในส่วนของการบริหารโครงการ

ส่วนการที่กระทรวงการคลังจะรอให้ ธ.ก.ส.ทำโครงการเข้ามาก่อนนั้น โดยตรรกะแล้วก็เป็นเช่นนั้น เพราะว่าหากจะใช้เงินตามมาตรา 28 นั้นก็ต้องใช้วิธีการทำเข้ามาเป็นโครงการผ่าน ครม.ตามขั้นตอน

สำหรับกรณีที่สหภาพ ธ.ก.ส.ไปยื่นขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความข้อกฎหมายว่าการใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ตขัดกับกฎหมายหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้รับไว้พิจารณา เนื่องจากตามขั้นตอนนั้น ธ.ก.ส.นั้นต้องหารือกันภายใน และหารือกับกระทรวงการคลัง

“สหภาพต้องคุยกับ ธ.ก.ส.ก่อน แล้ว ธ.ก.ส.คุยกับกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการต้องทำตามขั้นตอนทั้งการเข้าบอร์ด ธ.ก.ส.รวมถึงเสนอกระทรวง และจากกระทรวงเสนอ ครม.ซึ่งกฤษฎีกาจะให้ความเห็นส่วนนี้ ตอนนี้จะช้าหรือเร็วอยู่ที่กระทรวงการคลังจะพิจารณา และทำงานตามไทม์ไลน์ที่มี” เลขาธิการกฤษฎีกา กล่าว

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์