ครั้งแรก กยท.ประเดิมซื้อ น้ำยาง EUDR ราคาพุ่ง78 บาท เร่งแก้โรคใบร่วงด่วนๆ
กยท. KickOff บูรณาการฯ แก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ฯ พร้อมประเดิมซื้อขายน้ำยางสดEUDRครั้งแรก ราคาพุ่งสูงสุดที่78บาท/กก. คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 10.5 ล้านบาท มั่นใจ เสริมแกร่งห่วงโซ่ยางไทยทั้งระบบ
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Kick Offโครงการบูรณาการฯ เร่งแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา (26 มิ.ย. 67) ณ โรงงานน้ำยางข้นสหกรณ์การเกษตรจะนะ จำกัด ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้นโยบายการพัฒนาทรัพยากรเกษตรให้ยั่งยืน โดยสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่ยางพาราไทย บรรเทาปัญหายางพาราตั้งแต่แหล่งกำเนิด นั่นคือสวนยางพารา ในการแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อสวนยางประเทศไทยหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ทำให้รายได้ของเกษตรกรที่จะได้รับลดลง
ทั้งนี้การยางแห่งประเทศไทย(กยท.)ได้เร่งแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วย การบริหารจัดการโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพาราอย่างจริงจัง การให้ความรู้ การแจกจ่ายชีวภัณฑ์เพื่อลดความรุนแรงของโรค การพัฒนาอาชีพเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อย นำนวัตกรรม งานวิจัย และองค์ความรู้ ร่วมกับเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพาราฯ ด้วยกรรมวิธีที่เหมาะสมในการจัดการโรคใบร่วง ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวให้ดีขึ้นได้
“อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการยกระดับผลผลิตยางพาราให้ตรงตามมาตรฐานที่ผู้ซื้อยางหรือตลาดโลกต้องการ การเตรียมความพร้อมของพี่น้องเกษตรกรจึงเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะในเรื่องกฎระเบียบEUDRที่จะเริ่มบังคับใช้กับผลิตภัณฑ์ยางพาราในเดือนธันวาคมสิ้นปีนี้”
ซึ่งขณะนี้ กยท. ได้จัดเตรียมระบบข้อมูลยางพาราไทยให้เป็นไปตามเงื่อนไข ทั้งระบบลงทะเบียนเกษตรกรที่จะต้องใช้เป็นพื้นฐาน การจัดทำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์(RAOT GIS) เป็นอีกหนึ่งระบบที่ได้รับการรองรับตามกฎระเบียบEUDR ซึ่งภาคเอกชนเองก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันยางไทย ให้สามารถไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่ออุตสาหกรรมยางพาราของไทยได้อย่างแน่นอน
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า กยท. ขับเคลื่อนการบริหารจัดการยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตั้งแต่ต้นน้ำ โดยบริหารจัดการโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา หรือโรคใบจุดกลมColletotrichum อย่างจริงจัง ซึ่งที่ผ่านมา กยท. ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและยับยั้งการเกิดโรคมาโดยตลอด อาทิ การจัดหาสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดและยับยั้งเชื้อรา ที่เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ยังไม่เกิดการระบาดมาก ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่เกษตรกร และส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรด้วยการปรับเปลี่ยนพืชในพื้นที่ที่ระบาดรุนแรง และประสานงานกับกรมวิชาการเกษตรในการขยายพันธุ์และขนย้ายกล้ายางที่ปลอดโรค
รวมทั้งดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาพันธุ์ยางต้านทานโรค รวมไปถึงการทดสอบปุ๋ย ชีวภัณฑ์ ในแปลงของเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบโรคฯ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2565 ทำให้แนวโน้มความรุนแรงของโรคลดลง และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นโดยข้อมูลล่าสุด (มิถุนายน 2567) มีพื้นที่สวนยางได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคฯ จำนวน 28,840 ไร่ ลดลงจากเดือนพฤษภาคม ประมาณร้อยละ 97
สำหรับโครงการบูรณาการฯ นี้ เป็นอีกก้าวของการพัฒนาชีวภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดโรค ซึ่ง กยท. ได้ประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนร่วมกันทดสอบปุ๋ย ชีวภัณฑ์ และสารอื่นๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นเวทีที่ทุกภาคส่วนได้มาบูรณาการทดลองร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยมีผู้ประกอบการจากภาคเอกชนเข้าร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์จำนวน12บริษัท ในพื้นที่สวนยางของตัวแทนเกษตรกรจังหวัดสงขลาจำนวน24 แปลง
“กยท. ไม่นิ่งนอนใจในทุกปัญหาของชาวสวนยาง จะร่วมกันพัฒนาแนวทางจัดการแก้ปัญหาโรคใบร่วงฯ อย่างตรงจุดและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งประโยชน์โดยตรงและบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร เกิดเป็นรายได้ที่สามารถนำไปพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องชาวสวนยางไทยอย่างยั่งยืน”
ในวันเดียวกันนี้(26 มิ.ย.)กยท. ประเดิมซื้อขายน้ำยางสดที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มา ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบEUDR ผ่านตลาดกลาง กยท.2แห่ง มีปริมาณน้ำยางสดรวมกว่า 138,000 กิโลกรัม โดยวันนี้ราคาน้ำยางสดตรวจสอบย้อนกลับได้ สูงสุดที่78บาท/กก. คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 10.5 ล้านบาทถือเป็นการซื้อขายน้ำยางสดตรวจสอบย้อนกลับได้ครั้งแรกในไทย
ซึ่งก่อนหน้านี้ กยท. ได้เปิดตลาดซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 และยางก้อนถ้วยที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ ผ่านการประมูลด้วยระบบTRTดังนั้นการKick Offในวันนี้ จึงแสดงถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการจัดการข้อมูลยางพาราและระบบการซื้อขายยางผ่านตลาดกลางของ กยท. ที่มีมาตรฐาน พร้อมรองรับความต้องการยางEUDRของตลาดโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต