‘ยานยนต์‘ ไทยไม่ถึงทางตัน ’แบงก์ชาติ-ส.อ.ท.’ เห็นโอกาสฟื้นตัว
"แบงก์ชาติ-ส.อ.ท." ชี้อุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่ถึงทางตัน แม้ลดเป้าผลิตปีนี้ ระบุยอดขายไฮบริดโต หวังรัฐเร่งงบลงทุนเพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ กระจายทั่วประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจไทยฟื้นในช่วง2-3 ปีนี้ มั่นใจ ไทยจะยังคงเป็นฮับ "สันดาป-อีวี"
KEY
POINTS
- "เศรษฐพุฒิ" ระบุว่า แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นส่วนสำคัญต่อภาคการผลิตและการส่งออก แต่อุตสาหกรรมยานยนต์ คงจะไม่ส่งผลให้เกิดวิกฤติทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและการเงิน
- "ส.อ.ท." หวังงบประมาณภาครัฐประจำปี 2567 ที่ออกมานี้ จะเข้ามาช่วยให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้เชื่อว่าเศรษฐกิจในประเทศก็น่าจะดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้ได้
- จับตาทั้งเงินลงทุนภาครัฐ การลงทุน FDI ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น คนไทยมีรายได้ หนี้ครัวเรือนก็จะลดลง ยืนยัน ไทยจะยังคงเป็นฮับสันดาปและอีวี
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันที่ชัดเจนว่าคงจะต้องเหนื่อยจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น รวมทั้งแนวโน้มของการปล่อยสินเชื่อรถยนต์น้อยลง ซึ่งสะท้อนวัฎจักรของสินเชื่อ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปล่อยสินเชื่อไปมากแล้ว และเหตุผลหลักในปัจจุบันคือ เรื่องความเสี่ยงของผู้กู้
ทั้งนี้ แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นส่วนสำคัญต่อภาคการผลิตและการส่งออกของประเทศไทย แต่ ธปท. มองว่าสถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมยานยนต์ คงจะไม่ส่งผลให้เกิดวิกฤติทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ และการเงิน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับผู้ว่า ธปท. เพราะประเทศไทยได้ผ่านวิกฤติต้มยำกุ้งมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มคนมีเงิน แต่ส่งผลกระทบวงกว้างมายังประชาชนฐานรากด้วย และเกิดการปิดกิจการและการเลิกจ้างงานมากมายตามมา
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้จุดเริ่มของวิกฤติเศรษฐกิจมาจากปัญหาโควิดที่กระทบมาจนปัจจุบัน เนื่องจากเมื่อทั่วโลกต่างล็อกดาวน์ประเทศ ประชาชนส่วนมากที่ได้มีการซื้อรถเพื่อทำมาหากินก็ไม่มีงานไม่มีรายได้มาส่งงวดรถ ทำให้เกิดหนี้ครัวเรือนพุ่งกว่า 90% ของ GDP ประเทศ อีกทั้ง ดัชนีผลผลิต MPI ลดลงติดต่อกันมายาว 18 เดือน แม้จะกลับมาบวก 1 เดือนแต่ก็กลับมาติดลบอีกครั้งเมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา
"ส.อ.ท. ยังหวังว่างบประมาณภาครัฐประจำปี 2567 ที่ออกมานี้ จะเข้ามาช่วยให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้มากยิ่งขึ้น และยังหวังว่างบประมาณปี 2568 จะไม่ล่าช้าเหมือนงบปี 2567 ซึ่งหากมีการกระจายงบประมาณทั่วถึง เชื่อว่าเศรษฐกิจในประเทศก็น่าจะดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้ได้"
ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ใช่ว่าจะแย่ซะทีเดียว จะเห็นว่ายอดขายรถไฮบริด 5 เดือนมีการเติบโตเกือบ 500% แต่ก็ยอมรับว่าจะต้องปรับเป้ากำลังการผลิตทั้งปีลง ซึ่งตรงนี้จะยังคงติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะต้องดูปริมาณการผลิตของค่ายรถที่ต้องผลิตชดเชยนโยบายอีวี 3.0 ด้วยว่าจะผลิตที่เท่าไหร่ ซึ่งล่าสุด BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็ได้เปิดโรงงานอย่างเป็นทางการและตั้งเป้ายอดผลิตแล้ว อีกทั้ง ยังมีอีกหลายค่ายที่รับการส่งเสริมการลงทุนและพร้อมที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิต
"คงต้องจับตาทั้งเงินลงทุนภาครัฐ การลงทุน FDI ของนักลงทุนต่างประเทศ ที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปหารือและชักชวนมาลงทุนในไทย ซึ่งจุดนี้ก็เป็นจุดสำคัญว่า หากประเทศมีการลงทุนก็จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น คนไทยมีรายได้ หนี้ครัวเรือนก็จะลดลง แต่คงต้องใช้เวลา 2-3 ปี ดังนั้น ยืนยันว่าไทยจะยังคงเป็นฐานการผลิตทั้งรถน้ำมันและรถอีวี" นายสุรพงษ์ กล่าว