กรมวิชาการเกษตร ผนึก USDA ดัน เทคโนโลยี GED ตอบโจทย์เกษตรยั่งยืน
กรมวิชาการเกษตร ร่วมกับ USDA และภาคีเครือข่าย ผลักดันเทคโนโลยีGEd สร้างการรับรู้ ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ให้เข้าใจถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศ ตอบโจทย์เกษตรGAP การเพาะปลูกยั่งยืน
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยในการเป็นประธานประชุมเชิงปฏิบัติการ Plant Breeding Innovation for sustainable Agriculture and Agro-economic Developmentsและบรรยายพิเศษ แนวทางการขับเคลื่อน เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมในประเทศไทย ว่า
ปัจจุบันเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ (New Breeding Technology - NBT) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing, GEd) ที่มีความปลอดภัยสูง และไม่เป็นพืช GMOs ไม่มีการตัดต่อ DNA จากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาในการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งในผลิตภัณฑ์สุดท้ายมีสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตผู้ให้ที่สามารถผสมพันธุ์กันได้ตามธรรมชาติกับสิ่งมีชีวิตผู้รับ
จึงมีศักยภาพที่เหมาะสมสำหรับการปรับปรุงพันธุ์สิ่งมีชีวิตเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร สามารถปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมได้อย่างปลอดภัย และจำหน่ายเชิงพาณิชย์อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพส่งเสริมการแข่งขันของภาคการเกษตร เพื่อรองรับวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการระบาดของโรค แมลง ศัตรูพืชอุบัติใหม่ซึ่งองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ให้การยอมรับและสนับสนุนเทคโนโลยี รวมถึงประเทศต่างๆ ให้การยอมรับและสนับสนุนเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยสูงนี้
ทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมดังกล่าวจึงออก ประกาศ เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม เพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ. 2567 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 และกรมวิชาการเกษตรออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรองพืชที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม พ.ศ. 2567 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567
กรมวิชาการเกษตรได้เร่งขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยนำทัพนักวิชาการเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 24 - 29 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาพร้อมร่วมมือขับเคลื่อนงานวิจัยเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม รองรับภาวะวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงทางอาหาร หารือแนวทางในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี GEd กับหน่วยงาน USDA, Animal and Plant Health Inspection Service (APHIS), Agricultural Research Service (ARS), Foreign Agricultural Service (FAS) มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์, Agriculture & Food Systems Institute (AFSI) บริษัท คอร์เทวา และไบเออร์
ซึ่งระหว่างวันที่ 3 - 4 กันยายน 2567 กรมวิชาการเกษตร และภาคีเครือข่าย อาทิกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค (APSA) สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (THASTA) และครอปไลฟ์ เอเชีย (CropLife Asia) ในการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง Plant Breeding Innovations for Sustainable Agriculture and Agroeconomic Development ขึ้นเพื่อผลักดันเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม สร้างการรับรู้ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ให้เข้าใจถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศ
นอกจากนี้กรมวิชาการเกษตรยังเร่งพัฒนาบุคลากร และห้องปฏิบัติการ รองรับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีในภาคการเกษตร พัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์พืชเขตร้อนของโลกโดยกรมวิชาการเกษตร ได้มอบใบประกาศรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการภาคเอกชน เพื่อให้ภาคเอกชนมุ่งเป้าเป็น World tropical seed hubโดยยกระดับ Phytosanitary Certificate ของไทยเข้าสู่ระบบดิจิทัล เป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าเมล็ดพันธุ์ และการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายเมล็ดพันธุ์ระหว่างประเทศ
เสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบการตรวจสอบศัตรูพืชของไทย ที่มีความชัดเจน รวดเร็ว ทันสถานการณ์ โดยเฉพาะในภาวะที่มีการแข่งขันทางการค้าสูง ส่งเสริม และสนับสนุนการของบประมาณจากแหล่งทุน สกสว. สวก. และเครือข่ายต่างๆ ผลักดันงบประมาณโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ และได้ประสานความร่วมมือกับ Agriculture and Food System Institute และหน่วยงานในประเทศไทย
เพื่อพัฒนาแนวทางการใช้ CHATBot AI และสร้างการรับรู้ให้กับภาคส่วนต่างๆ ผ่านช่องทางการสัมมนา ให้กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ประชาชนทั่วไปรวมถึงเกษตรกรให้เข้าใจถึงเทคโนโลยี GEd ที่ถูกต้อง นำไปสู่การขับเคลื่อนใช้ประโยชน์ และสร้างความสามารถในการแข่งขันและพึ่งพาตัวเองของประเทศไทย ตอบโจทย์การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) นำไปสู่การลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก สอดรับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของประเทศ สู่ความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารของโลก